ตำนานรักเลสเบี้ยนกัมพูชาที่ยาวนานกว่า 44 ปีพบรักกลางดงเขมรแดง

กัมพูชา - เลสเบี้ยนเป็นเรื่องต้องห้ามภายใต้การปกครองของเขมรแดง รับฟังเรื่องเล่าจากปากของผู้รอดชีวิตที่ยังคงครองรักกันจนถึงปัจจุบัน 

โพสต์ทูเดย์

วันจันทร์ ที่ 22 พฤษภาคม 2560, เวลา 13:00 น.

ภาพจาก Al Jazeera

ภาพจาก Al Jazeera

เมื่อ Soth Yun ยังเป็นสาว เธอใช้เวลาหลายปีเก็บซ่อนความรักของเธอไว้ ไม่กล้าเปิดเผยให้ใครรับรู้

ณ ตอนนั้นคือปี 1970 กัมพูชาตกอยู่ภายใต้การปกครองของเขมรแดง พรรคคอมมิวนิสต์ที่ต้องการพากัมพูชากลับไปสู่สังคมเกษตรกรรม ท่ามกลางชีวิตที่แร้นแค้น อาหาร และยารักษาโรคกลายเป็นสิ่งหายาก ผู้คนต้องทำงานอย่างหนักและใครก็ตามที่ขัดคำสั่งของรัฐบาลนั่นเท่ากับพวกเขากำลังเขียนใบมรณกรรมให้ตัวเอง

ภายใต้การปกครองของเขมรแดง ความสัมพันธ์ที่ปราศจากการแต่งงาน ซึ่งอนุมัติโดยรัฐบาล ถือว่าเป็นความผิด เพราะเป็นความสัมพันธุ์ที่มีถูกมองว่ามีจุดประสงค์เพื่อเซ็กส์ และสำหรับ Yun ความรักของเธอสวนทางกับจุดประสงค์ของรัฐบาลที่ต้องการผลิตประชากรเพิ่มอย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นเพราะเธอตกหลุมรักหญิงสาวอีกคนหนึ่งเข้า

ช่วงปี 1975 - 1979 ที่เขมรแดงเรืองอำนาจ มีชาวกัมพูชาราว 1.7 ล้านคนเสียชีวิตจากความอดอยาก การทำงานหนักเกินไป หรือการถูกสังหาร หรือคิดเป็น 13 - 30% ของชาวกัมพูชาที่เสียชีวิตจากน้ำมือของเขมรแดง

ในช่วงเวลานั้นรัฐบาลได้ทำการแบ่งแยกประชากรออกเป็นกลุ่มๆตามเพศ และอายุ สมาชิกครอบครัวถูกพรากออกจากกัน และแทบไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกเลย แต่นั่นก็เป็นเหตุให้ Yun และ Houy Eang ได้พบกัน

สังคมที่แบ่งแยกเพศ

"เราทำงานในกลุ่มเดียวกัน ในหน้าที่ขุดคลอง แล้ววันหนึ่งเธอล้มป่วย ฉันช่วยเหลือเธอ และเธอเองก็ใจดีกับฉันเอามากๆ" Yun ในวัย 61 ปี เล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น

ช่วงเวลาที่เธอและ Eang คนรัก พบกันในปี 1973 ขณะนั้นทั้งคู่อาศัยอยู่ในจังหวัดตาแก้ว หนึ่งในพื้นที่แรกที่ถูกเขมรแดงยึดครอง Yun เองไม่เคยกล่าวถึงความรู้สึกตนเอง จนกระทั่ง เมื่อEang ถูกย้ายไปทำงานยังที่อื่น "ฉันเฝ้ารอให้เธอกลับมา" Yun กล่าว และอีก 5 ปีต่อมา ก่อนที่เขมรแดงจะล่มสลายลง เมื่อ Eang กลับมา Yun ตัดสินใจสารภาพความในใจ

ทุกวันนี้เวลาผ่านไป 44 ปี นับตั้งแต่ทั้งคู่พบกันครั้งแรก คู่รักคู่นี้ยังคงอาศัยอยู่ด้วยกัน ในหมู่บ้าน Sdok Prey หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ในจังหวัดตาแก้ว ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ และใช้เวลาในการเดินทางมาถึงเพียง 2 ชั่วโมง

เรื่องราวความรักของทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องแปลก ยังมีหญิงสาวคนอื่นๆอีกมากที่พบรัก ท่ามกลางสังคมที่ยังคงกีดกัน และมีอคติทางเพศ อย่างไรก็ตามแม้จะรอดตายจากเขมรแดงมาได้ พวกเธอยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคอื่นๆอีก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือทัศนคติในสังคม ในกัมพูชาการที่ผู้หญิง 2 คนที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องปกติ

"หลายๆสิ่งเปลี่ยนแปลง แต่สังคมยังคงไม่ยอมรับเรา" Yun กล่าว "ยังไงครอบครัวก็ต้องการให้ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชาย"

เมื่อถามว่าทั้งคู่ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้อย่างไร Yun ระบุว่า ความสัมพันธ์แบบหญิง-หญิง หรือที่หลายคนเรียกกันว่าเลสเบี้ยนนี้เป็นอะไรที่เสถียรภาพมากกว่าคู่อื่นๆ และพวกเธอเองก็ผ่านเรื่องร้ายๆด้วยกันมามาก ฉะนั้นแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งสองก็ยังยืนหยัดที่จะอยู่เคียงข้างกัน ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะช่วยเหลือคู่รักเลสเบี้ยนคู่อื่นๆให้ได้รับการยอมรับ

ความรักที่เป็นความลับภายใต้เงาเขมรแดง

ในปี 2011 รายงานจากศูนย์เอกสารแห่งชาติกัมพูชา ในหัวข้อ "รอยแผลเป็นที่ซ่อนเอาไว้ของกัมพูชา" (Cambodia's Hidden Scars) ได้ทำการสำรวจเรื่องราวของผู้รอดชีวิตจากเขมรแดง และบาดแผลที่เกิดขึ้นในจิตใจของพวกเขา

จากรายงานระบุว่า เขมรแดงได้ทำลายวัฒนธรรมครอบครัวของกัมพูชาไป ช่วงเวลาภายใต้การปกครอง เด็กๆถูกพรากออกจากครอบครัว และถูกส่งไปยังค่ายพักรวมกัน พวกเขาถูกปลูกฝังให้รัก และส่งเสริมรัฐมากกว่าครอบครัว และเพื่อน

ชาย และหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะถูกแยกออกจากกัน ภายใต้การควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในบางครั้งพวกเขาจะเลือกจับคู่บางคน และอนุญาตให้เกิดการแต่งงานขึ้นได้

"ในสังคมที่กีดกันเรื่องเพศ ผู้หญิงคนใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเกินไปจะถูกมองว่าไม่น่าไว้วางใจ" รายงานจาก Theresa de Langis รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอเมริกัน ในกรุงพนมเปญกล่าว ซึ่งเธอเป็นผู้รวบรวมเรื่องราวจากบรรดาผู้รอดชีวิตจากเขมรแดง

"เมื่อฉันบอกกับการ์ดเขมรแดงว่าฉันตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง พวกเขาคิดว่าฉันกำลังพูดเรื่องตลก" Noy Sitha หญิงชาวกัมพูชาอีกคน ผู้ใช้ชีวิตร่วมกับ Hong Saroeum คู่รักมานานกล่าว

"เขาบอกว่าถ้าฉันมีลูกได้ ฉันจะมีตำแหน่งที่ดีในฐานะเจ้าหน้าที่ของเขมรแดง" เธอกล่าว แต่แล้วในที่สุดเธอก็ได้อาศัยอยู่ในบ้านพักหลังเดียวกันกับ Saroeum เพราะการ์ดเขมรแดงคิดว่าทั้งคู่เป็นแค่เพื่อนกัน

หญิงสาวทั้ง 2 พบกันในปี 1975 "เธอเป็นคนสนุกสนาน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงสนใจเธอ" Sitha กล่าวถึงความทรงจำในตอนนั้น ที่งานขุดคลองอันแสนเหนื่อยหน่าย ไม่อาจลบเลือนรอยยิ้มของ Saroeum ได้ และหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

หัวหน้ากลุ่มของพวกเธอเป็นผู้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ซึ่งถือว่าผิดกฏ ที่เขมรแดงไม่อนุญาตให้ใครมีความสัมพันธ์กัน หากปราศจากการแต่งงาน แต่หลังรายงานเรื่องดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชา พวกเขากลับไม่เชื่อว่าทั้งคู่เป็นคู่รักกัน และทั้งสองก็รอดตัวจากการถูกลงโทษ

ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นที่ต้อนรับในสังคม

ภาพถ่ายที่ถูกบันทึกไว้ไม่กี่ปีหลังการล่มสลายของเขมรแดง ในภาพนั้น Sitha มองกล้องอย่างมั่นใจในลุคผมสั้น สวมใส่เสื้อเชิ้ต ในขณะที่ Saroeum ยังคงไว้ผมยาว ในปัจจุบัน Sitha สวมใส่เสื้อเชิ้ต และกางเกงสแลคเป็นปกติ ส่วนSaroeum มักสวมซัมปอต กระโปรงตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขมร

รายงานจาก Srun Sron ผู้ก่อตั้ง Rainbow Community Kampuchea (RoCK) หนึ่งในคอมมูนิตี้ LGBT ในกัมพูชาระบุว่า เลสเบี้ยนในกัมพูชายังคงเลือกที่จะสวมใส่เสื้อผ้าตามวัฒนธรรมดั้งเดิม

แม้ว่า Sitha จะไม่ได้แต่งตัวแบบผู้ชาย แต่บทบาทของพวกเขาแสดงออกชัดเจน Sitha ออกไปทำงานยังสถานีวิทยุ ในขณะที่ Saroeun อยู่ที่บ้าน และคอยทำงานบ้าน "เลสเบี้ยนในกัมพูชามีเอกลักษณ์ที่ต่างจากประเทศอื่นๆ" Srorn กล่าว"แม้ว่าพวกเขาจะแต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่บทบาทของสามี และภรรยายังคงเห็นได้ชัดเจน"

อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังคงไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม พวกเขายังคงต้องปิดบังเพื่อนบ้าน "เมื่อเราออกไปเดินตามท้องถนน ผู้คนจะพากันนินทาว่า ผู้หญิงสองคนนี้อยู่ด้วยกันได้อย่างไร" Sitha กล่าว และเมื่อถูกถามเธอจะบอกเพียงว่าพวกเธอเป็นเพื่อนกัน

ความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยนเป็นเรื่องเข้าใจยากในสังคมอนุรักษ์นิยมอย่างกัมพูชา รายงานจาก NGO ในปี 2010 โดย Human Rights มีหลายกรณีที่หญิงสาวที่รักเพศเดียวกันถูกพรากออกจากคนรัก หรือถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่ครอบครัวหาให้ "LGBT ประเภทอื่นๆก็ล้วนมีปัญหากับครอบครัว แต่ในเคสของเลสเบี้ยนแล้วจะมากเป็นพิเศษ เพราะในสังคมกัมพูชาผู้หญิงจะได้รับแรงกดดันมากกว่าผู้ชาย" Chhoeurng Rachana นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชาว LGBT กล่าว

บทบาทของผู้หญิงในสังคมถูกำหนดเอาไว้ และได้รับการถ่ายทอดผ่านรุ่นต่อรุ่น จากบทกวีอันโด่งดังบทหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Chbab Srey ที่ระบุถึงสิ่งที่หญิงกัมพูชาควรทำ อันได้แก่การอาศัยอยู่ที่บ้าน คอบดูแลรับใช้สามี และครอบครัว

แรงต่อต้านจากครอบครัว

แม้ Yun และ Eang จะเอาชีวิตรอดมาจากเขมรแดงได้ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขากลายเป็นเรื่องอันตรายอีกครั้ง เมื่อต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากบรรดาญาติๆ

"ในตอนแรกเรากลัวเขมรแดง แต่ตอนนี้เราหวาดกลัวครอบครัวของเราเอง" Yun กล่าว

เมื่อครอบครัวทราบถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ Eang ถูกขังตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่แล้วในที่สุดเธอตัดสินใจหนีออกมา และในไม่กี่สัปดาห์ต่อมาเธอมีจำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านเพราะทั้งคู่ไม่มีเงิน จนกระทั่งในปี 1984 เมื่อพ่อของ Eang เสียชีวิตลง เธอจึงสามารถย้ายไปอาศัยอยู่กับ Yun ได้ และเมื่อพวกเธอทำเช่นนั้น บรรดาญาติพากันโกรธ และไม่คุยกับเธอ จนกระทั่งในปัจจุบัน พวกเขาก็ยังคงไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของทั้งคู่

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันสังคมเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ต้องขอบคุณองค์กรอย่าง RoCK และ CamAsean ที่สนับสนุนสิทธิของชาว LGBT ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา พวกเขาเดินทางลงพื้นที่พูดคุยกับครอบครัว และเพื่อนบ้านของหลายคู่รัก เพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ ซึ่งทั้ง Yun และ Eang เองก็ได้มีส่วนในการพูดคุยกับหลายครอบครัวด้วยเช่นกัน เพื่อช่วยเหลือบรรดาคู่รักเลสเบี้ยนรุ่นใหม่ๆ

"ถึงแม้ว่าเราจะไม่ต้องทะเลาะกับครอบครัวอีกแล้ว แต่เลสเบี้ยนรุ่นใหม่ๆยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติจากผู้คนรอบตัวที่ไม่ยอมรับพวกเขา" Yun กล่าว

ด้าน Sitha เธอแต่งเพลง เพื่อสร้างความตระหนักถึงสิทธิของบรรดาเลสเบี้ยน ที่ต้องสู้กับอคติในสังคม "เป็นเลสเบี้ยนมันยากยังไงเหรอ? มันเจ็บปวดมาก ไม่มีใครสนับสนุน เราร้องไห้ทุกวัน และไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเราจึงแตกต่างจากผู้คนรอบตัว" Sitha กล่าวผ่านบางส่วนของเนื้อเพลงที่เธอแต่ง พร้อมประชดว่า แม้การมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาเขมรแดงจะลำบาก แต่ในตอนนั้นความรักของเธอเป็นเรื่องงายกว่านี้ "ทุกวันนี้ชีวิตผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราพบเจอคนใหม่ๆในทุกวัน" เธอกล่าว "และผู้คนจำนวนมากก็ยังคงไม่ชอบเรา"

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่