นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจความเสียหายของสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ โดยมูลค่าทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 2.23 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นความเสียหายจากภาคเกษตร 8,100 ล้านบาท ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม 1.08 หมื่นล้านบาท และโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน ทางรถไฟ สะพานและบ้านเรือน) 3,405 ล้านบาท ทำให้จีดีพีภาคใต้ลดลง 1.2% จากเดิมที่คาดว่าปีนี้จีดีพีภาคใต้จะขยายตัว 3.2% และส่งผลให้จีดีพีของประเทศลดลง 0.1%
โดยชี้แจงว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ภาคเกษตร ที่มีพื้นที่เกษตรเสียหายรวม 9.99 แสนไร่ กระทบเกษตรกรในพื้นที่ 4.04 แสนราย โดยเฉพาะความเสียหายของพื้นที่ปลูกยางพาราที่เป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด
“จากการสำรวจพบว่า ธุรกิจที่ ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม ผู้ประกอบการขนาดเล็กถึง 64.1% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด หรือประมาณ 1.21 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ได้รับความเสียหายประมาณ 12.1% หรือประมาณ 2,300 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลกระทบทางอ้อมในเรื่องของการขนส่งโลจิสติกส์และซัพพลายเชน" นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งเยียวยา คือการฟื้นฟูพื้นที่เกษตร ทั้งในส่วนที่ยังไม่สำรวจว่ามีการยืนต้นตายหรือไม่ และส่วนที่มีการค้ำยันไว้ เพราะขณะนี้พบว่ามียางพาราบางส่วนที่เกิดภาวะช็อกไม่สามารถกรีดยางได้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวประมาณ 45-60 วัน
“ในช่วง 1-2 เดือนนี้ จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจภาคใต้อยู่ในภาวะช็อก การใช้จ่าย ค้าขายและการท่องเที่ยวจะซึมตัวลง เพราะยังมีความกังวลและเก็บเงินไว้ใช้สำหรับการซ่อมแซมบ้านเรือนก่อน ดังนั้นหากรัฐบาลเร่งหามาตรการเยียวยาได้เร็ว ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจภาคใต้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และอาจดึงให้ จีดีพีภาคใต้กลับมาขยายตัวได้ถึง 2.5%” นายธนวรรธน์ กล่าว