แท็กซี่เตือนภัย! ลูกค้าแสบอาศัยช่วงคนขับลงรถฉกเงิน 3,600 สุดท้ายยอมจำนนด้วยหลักฐาน

ภูเก็ต – ผู้ประกอบการแท็กซี่ส่วนบุคคลฝากเตือนภัยเพื่อนร่วมอาชีพ ให้เพิ่มความระมัดระวังจาก “ลูกค้า” ภายหลังจากประสบเหตุด้วยตนเอง เมื่อช่วงเช้ามืดของวันอาทิตย์ (30 มกราคม) ที่ผ่านมา

จุฑารัตน์ เปลรินทร์

วันพฤหัสบดี ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565, เวลา 15:40 น.

แท็กซี่เตือนภัย! ลูกค้าแสบอาศัยช่วงคนขับลงรถฉกเงิน 3,600 สุดท้ายยอมจำนนด้วยหลักฐาน

แท็กซี่เตือนภัย! ลูกค้าแสบอาศัยช่วงคนขับลงรถฉกเงิน 3,600 สุดท้ายยอมจำนนด้วยหลักฐาน

นายสมภาส จินดาวงษ์ อายุ 49 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบอาชีพขับรถบริการที่จังหวัดภูเก็ตมานับ 10 ปี เปิดเผยกับ ข่าวภูเก็ต ว่า เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 30 ม.ค. 65 เขาได้ขับรถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ไปรับลูกค้าชาวต่างชาติจำนวน 3 ราย จากวิลล่าหลังหนึ่งในซอยพัฒนา ไสยวน เพื่อไปส่งยังคอนโดแห่งหนึ่งในพื้นที่ตำบลราไวย์เช่นกัน ผ่านการเรียกใช้รถบริการด้วยแอปพลิเคชั่น InDriver ในราคา 150 บาท

“ลูกค้าขึ้นมาทั้งหมด 3 คน เป็นชายหญิงผิวขาว 2 คนและชายผิวสีอีก 1 คน คิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นเพื่อนกัน เพราะมีเบอร์ติดต่อกัน และคนที่เรียกรถเป็นคุณผู้หญิงในกลุ่ม” นายสมภาส กล่าว

เมื่อรับผู้โดยสารไปส่งยังคอนโดจุดหมายปลายทาง ผู้โดยสาร 2 รายได้ลงจากรถ โดยชายผิวสี (ผู้ก่อเหตุลักทรัพย์) ยังคงนั่งอยู่ในรถ และลูกค้าขอให้ไปส่งที่คอนโดอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลภูเก็ต ซึ่งมีค่าบริการ 200 บาท

“พอไปส่งลูกค้าจุดแรก ผมก็เดินลงไปส่งลูกค้าตามปกติ ลูกค้าสองคนลงมายืนคุยกันข้าง ๆ รถ ตอนนั้นเหมือนเขากำลังตกลงกันอยู่ และผมไม่แน่ใจว่าจะไปต่อหนึ่งหรือสองคนกันแน่ ผมเลยให้ลูกค้าตกลงกันและขอตัวไปทำธุระส่วนตัว เพราะตอนนั้นเกิดปวดท้องเบาพอดี”

จากนั้นนายสมภาสเดินกลับมาขึ้นรถ และขับไปส่งลูกค้าซึ่งเป็นชายคนผิวสีเพียงคนเดียว โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าในขณะที่เขาลงจากรถไปนั้น ลูกค้ารายดังกล่าวได้เอื้อมมาหยิบเงินสด จากช่องพักแขนระหว่างเบาะคนขับไปแล้วเป็นเงิน 3,600 บาท กว่าที่จะรู้ตัวว่าเงินหายไปในเวลาประมาณ 09.00 น.

“สรุปว่าลูกค้าไปคนเดียวผมขับรถไปส่งที่คอนโดใกล้เซ็นทรัล เขาก็จ่ายอีก 200 ทุกอย่างปกติ ส่งลูกค้าเสร็จก็กลับบ้านนอน” เขากล่าว “ตื่นตอนเช้าจะเอาเงินไปซื้อของแต่ไม่มีเงินอยู่ในเก๊ะ เรารู้ว่าเรามีเงินเท่าไร เราหาเงินได้เท่าไร แล้วใส่เงินไปเท่าไหร่” นายสมภาส กล่าว

จากนั้นเขาจึงได้เปิดกล้องในรถ และพบผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุในครั้งนี้ คือ ลูกค้าคนสุดท้ายที่เขาไปส่งตอนเช้ามืดก่อนกลับเข้าบ้าน “ตอนเราเปิดดูเองมันไม่ชัด เลยไปให้ที่ร้านคอมให้เขาช่วย พอโหลดมาดูก็เห็นว่า ลูกค้าเราเป็นคนเอาเงินของเราจริง ๆ”

หลังทราบเรื่องเขาจึงได้ติดต่อหาคนที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ให้ช่วยโทรหาลูกค้าจากเบอร์ที่ใช้ติดต่อ อย่างไรก็ตาม เบอร์ที่ใช้ติดต่อเป็นเบอร์ของหญิงสาว 1 ในลูกค้ากลุ่มสุดท้าย จากนั้นเธอจึงได้ให้เบอร์ติดต่อของลูกค้ารายสุดท้ายกับทางผู้เสียหาย

“ผมต้องไปหาคนที่มีความรู้เรื่องภาษาอีกนะ เพราะตัวเองไม่เก่งภาษาอังกฤษ พอได้เบอร์มาแล้วเราก็จะไปติดตามกันเองที่คอนโดที่ไปส่งเขาตอนเช้ามืด แต่ระหว่างนั้นได้ติดต่อตำรวจท่องเที่ยวที่รู้จักกัน และได้รับคำแนะนำว่าให้ไปแจ้งทำบันทึกประจำวันไว้กับตำรวจในท้องที่เกิดเหตุก่อน และไม่ควรไปติดตามเอง เพราะเขาอาจจะหาว่าเราข่มขู่เขาได้”

นายสมภาสทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ และเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท. อภิเดช โฉมทอง รอง สว.(สอบสวน) สภ.ฉลอง ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้โทรหาลูกค้ารายล่าสุดของเขาในเวลาประมาณ 17.00 น. พร้อมกับส่งคลิปวิดีโอภายในรถไปให้ชายต่างชาติคนดังกล่าว

“เขาบอกว่าจะติดต่อมาวันพรุ่งนี้ คนที่เอาของเราไปนะ” นายสมภาส กล่าว “ติดต่อเขาไป เขาบอกจะไม่มาที่โรงพัก ขอไม่ให้แจ้งความได้ไหม ผมจึงติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวที่รู้จักกันอีกครั้ง เขาก็บอกว่าไม่ได้ ต้องไปคุยกันที่โรงพัก เราไปจะไปจ่ายเงินกันเองข้างนอกไม่ได้ เดี๋ยวนักท่องเที่ยวจะหาว่าเราไปขู่เข็ญหรือเรียกร้องตังค์เขาอีก เพราะฉะนั้นเราต้องไปเจอที่โรงพักอย่างเดียว”

“ผมเอาไฟล์ให้ตำรวจ พอร้อยเวรเห็นแกก็บอกว่าใช้ได้ เพราะว่าอันนี้คือหลักฐานชัดเจน ตอนแรกเขาปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไป ยืนเถียงอยู่หน้าโรงพักตั้งนาน เพราะภาพที่เราส่งให้เขามันไม่ชัด แต่พอตำรวจเรียกเข้าไปคุย และเขาเห็นภาพจากคอมพิวเตอร์ของตำรวจที่มันชัดมาก ทางเจ้าหน้าที่บอกให้แจ้งไปเลยว่าเรียกร้อง 4,000 บาทเป็นค่าเสียหาย เขาก็ยอมจ่ายเพราะจำนนด้วยหลักฐาน” เขาอธิบาย

“โชคดีที่ผมมีกล้องและยังตามตัวเขาได้ และถึงแม้ผมจะได้มา 4 พันมันก็ไม่คุ้มค่าเสียเวลา เพราะผมไม่ได้วิ่งงานเลยทั้งวัน ไหนจะต้องเครียดอีก เราทำงานกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท” นายสมภาส กล่าว

“อยากฝากประชาสัมพันธ์ให้คนขับรถบริการระมัดระวัง เพราะบางทีคนขับรถอย่างเราก็คิดแค่ว่าอยากจะให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ เราวางเงินไปตรงช่องนั้น เพื่อจะหยิบมาทอนลูกค้าได้สะดวก แต่ก็ไม่คิดว่าลูกค้าจะมาขโมยเงินเราไปแบบนี้”

 



 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่