เรื่องเล่าจากคีตฮอร์น The Tale of Giethoorn

หมู่บ้านที่ไม่มีถนน รถราไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้แต่บุรุษไปรษณีย์ยังต้องส่งจดหมายด้วยเรือท้องแบน

อัญธิกา เมืองรอด

วันอาทิตย์ ที่ 16 เมษายน 2560, เวลา 12:00 น.

“หมู่บ้านบรรยากาศร่มรื่นรายล้อมด้วยแม่น้ำ สะพานไม้ทอดจากเกาะกลางน้ำฝั่งหนึ่งไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง พุ่มไม้หลากสีเอนเอียงลงไปในน้ำให้ความรู้สึกราวกับว่าที่นี่เป็นสถานที่ใดสถานที่หนึ่งในโลกแห่งเทพนิยาย... ลมหนาวพัดผ่านใบหน้าเย็นจนดิฉันรู้สึกได้ เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ความฝัน... ทว่ามีความใกล้เคียงกับความฝันอยู่มากทีเดียว... Giethoorn ช่างสวยงามเหลือเกิน”

หมู่บ้าน Giethoorn ได้รับการขนานนามให้เป็น “Venice of the North” หรือ “เวนิซทางตอนเหนือ” ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะไม่เหมือนเมืองเวนิซสุดโรแมนติคของประเทศอิตาลี่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจแต่ทว่าสองเมืองนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน หรืออาจพูดได้ว่า สองเมืองนี้ขาดสิ่งหนึ่งเหมือนกัน ที่โดยทั่วไปแล้วเมืองอื่นจะมี "ถนน" ที่นี่ไม่มีถนนเลย มีแต่ทางเท้าเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่จะเดินและสัญจรด้วยเรือเป็นหลัก มีปั่นจักรยานบ้างเล็กน้อย เป็นหมู่บ้านที่รถไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้แต่บุรุษไปรษณีย์ก็ยังต้องมาส่งจดหมายด้วยเรือท้องแบน!

กระท่อมสไตล์ยุโรปตะวันตก

บ้านแต่ละหลังถูกออกแบบให้เป็นกระท่อมสไตล์ตะวันตกมีความโดดเด่นสวยงาม หลังคาบ้านของชาวดัตช์มักจะมีเอกลักษณ์ของหลังคาที่มุงด้วยหญ้าฟางซึ่งมีความหนาและคงทนมากทีเดียว ปกติแล้วหลังคาที่มุงด้วยฟางอาจจะต้องเปลี่ยนทุกๆ 10-15 ปี ฟางยาวและฟางข้าวสาลีอาจมีอายุถึง 20-30 ปี แต่หากว่าเป็นหญ้ากกจะอยู่ทนถึง 30-50 ปีเลยทีเดียว รอบๆบ้านทุกหลังจะมีสนามหญ้าและพุ่มไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ ผสานความคลาสิคและความน่ารักได้อย่างลงตัวโดย นักท่องเที่ยวสามารถรับรู้ถึงวิถีความเป็นอยู่และรสนิยมการประดับตกแต่งบ้านของชาวดัตช์ได้เป็นอย่างดี

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเดินทางมาเที่ยวชมที่นี่เห็นจะเป็นฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่พุ่มไม้ดอกไม้จะผลิบานสะพรั่งต้อนรับผู้มาเยือนแลดูสวยงามมาก หรือแม้แต่ในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็นและมีหิมะปกคลุมทั่วพื้นที่ Giethoorn ก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของหลายๆคนทั้งชาวดัตช์เองหรือนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งในช่วงนี้อีกด้วย

ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ

ชื่อหมู่บ้าน “Giethoorn” ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มของผู้ลี้ภัยกลุ่มหนึ่ง ประมาณปีคริสตศักราช 1230 ที่มาของชื่อ “ Giethoorn” อ่านว่า “คีต ฮอร์น” มาจากคำว่า “Goat Horn”ซึ่งมีความหมายว่า “เขาแพะ” เนื่องจากเมื่อผู้ลี้ภัยเดินทางมาถึงสิ่งแรกที่พวกเขาได้สังเกตเห็นก็คือเขาแพะจำนวนมากอยู่ทั่วบริเวณนั้น ซึ่งอาจสมมุติฐานได้ว่าน้ำท่วมใหญ่ในปี 1170 เมื่อหลายปีก่อนนั้นได้คร่าชีวิตแพะจำนวนมากที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ การค้นพบครั้งนี้จึงได้เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านแห่งนี้นั่นเอง

ปัจจุบันนี้ Giethoorn เป็นหมู่บ้านชนบทในอุทยานแห่งชาติ Weerribben –Wierden ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด Overijssel ประเทศเนเธอแลนด์ มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 2,600 คนเท่านั้น มีสะพานในหมู่บ้านประมาณ 180 สะพาน และคลองอยู่อีกมากมาย ซึ่งเกิดจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำอยู่แล้ว บวกกับเมื่อสมัยก่อนมีการขุดหาดินพรุอย่างกว้างขวางเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง หลุมเหล่านั้นในที่สุดก็กลายเป็นบ่อน้ำน้อยใหญ่ทั่วไป ชาวบ้านได้คิดหาวิธีการขนส่งดินพรุเหล่านี้โดยการขุดคูคลองเพิ่มขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย โดยที่ไม่ตระหนักรู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาทำเพราะความจำเป็นในขณะนั้นได้ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดอันดับโลกไปแล้ว!

ล่องเรือ “กระซิบ” ลอดใต้สะพาน

ท้องฟ้าในต้นฤดูใบไม้ร่วงไล่เฉดจากสีฟ้าสดใสไปจนถึงสีน้ำเงินเข้มชวนลุ่มหลงราวกับจะทำให้คนมองดำดิ่งไปในวังวันแห่งธรรมชาติอีกครั้ง ดิฉันเดินเอ้อระเหยไปเรื่อยในช่วงบ่ายๆของวันอาทิตย์ ผ่านโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ที่ชอบที่สุดคือร้านขายหินสวยงามและโคมไฟที่ทำจากแร่ ไม่นานนักก็มาถึงท่าจอดเรือเมล์เล็กๆ ค่าเรือสนนราคาอยู่ที่ 5 ยูโรเท่านั้น (หรือประมาณ 200 บาท) หากได้จิบช้อคโกแลตอุ่นๆบนเรือขณะที่เรือแล่นไปรอบๆหมู่บ้านและดูเป็ดเล่นน้ำในคลองแล้ว นี่คงเป็นกิจกรรมในบ่ายวันอาทิตย์ที่น่าเพลิดเพลินใจมาก นักท่องเที่ยวสามารถหาเรือเช่าขับเองได้อีกด้วย เรือเช่าที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น “เรือกระซิบ” เนื่องจากเป็นการใช้เครื่องยนต์โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพราะฉะนั้นจึงไม่ทำให้เกิดมลภาวะทางเสียงแก่นักเดินทางที่เดินทางมาจากทั่วมุมโลกเพื่อล่องเรือชื่นชมหมู่บ้านที่มีจุดขายเป็นทัศนียภาพแบบธรรมชาติเป็นหลัก

เมื่อเดินข้ามสะพานเล็กๆจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง จะสังเกตเห็นว่าสะพานส่วนใหญ่จะมีการทำทางลาดสำหรับผู้ขี่จักรยานให้เข็นรถขึ้น-ลงอย่างสะดวก และบางสะพานมีแม้กระทั่งรางรถเข็นสำหรับผู้สูงอายุหรือคนพิการให้ข้ามไปอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย!

ใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่ชั่วโมงฉันก็เดินมาถึงสุดทาง หากแต่การเดินกลับครั้งนี้รู้สึกว่าเป็นการเดินทางกลับที่สั้นเสียเหลือเกิน ฉันเอารูปที่ถ่ายขึ้นมาดูอีกครั้งเทียบกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า นี่เป็นอีกครั้งที่ดิฉันตระหนักว่า ไม่ว่ากล้องถ่ายภาพจะมีประสิทธิภาพสักแค่ไหน แม้แต่จะเป็นกล้องที่มีประสิทธิภาพที่สูงที่สุดในโลก ก็ไม่สามารถจับภาพที่อยู่ตรงหน้าเทียบเท่ากับประสิทธิภาพที่ตาสามารถมองเห็นได้ ทัศนียภาพและมิติของสิ่งรอบตัวที่เราสามารถสัมผัส รับรู้ มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าในการเดินทางมันไม่ใช่แค่ภาพวิวทิวทัศน์ แต่มันคือความทรงจำที่ไม่มีทางหายไปจากเราได้ และนี่คือสิ่งที่สวยงามที่สุดของการเดินทางมิใช่หรือ...

ฉันได้เพียงหวังว่าจะได้กลับมายืนที่เดิมอีกครั้ง เพียงแค่ได้สูดอากาศที่นี่ก็เหมือนความเครียดจากเรื่องต่างๆในชีวิตเห็นจะหายไปได้กระมัง มันเป็นเหมือนโลกอีกซีกหนึ่งที่ฉันเพิ่งเคยสัมผัส แต่ทว่าฉันจะจดจำที่นี่ไปตลอด... จนกว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง...

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่