เบื้องลึกเบื้องหลังของชีวิต “นักกู้ชีพ”

พบอีกด้านของเจ้าหน้าที่กู้ภัย ผู้ซึ่งมีชีวิตและอาชีพที่ต้องอุทิศตนให้สังคม และมุมมองต่อโลกที่เปลี่ยนไปหลังประสบพบผู้คนหลากหลายรูปแบบ

เปรมกมล เกษรา

วันเสาร์ ที่ 24 มิถุนายน 2560, เวลา 15:00 น.

ภาพ ปวริศร์ มูสิกา

ภาพ ปวริศร์ มูสิกา

คนทุกคนต่างมีเป้าหมายในชีวิตที่ต่างกัน หากโชคดีก็ค้นพบทางเดินของตัวเองตั้งแต่ยังอายุน้อย แต่ถ้าแย่หน่อยก็ยังคงหลงทางอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายในวันที่ชีวิตเริ่มแก่ชายผู้นี้เป็นคนโชคดีคนหนึ่งที่ค้นพบจุดประสงค์ของชีวิตตัวเองในวันที่อายุยังน้อย เขาได้เริ่มทำตามฝันของเขาเรื่อยมาจนปัจจุบันก็ยังคงก้าวเท้าแต่ละก้าวอย่างหนักแน่นบนถนนของตัวเอง

คุณพสธร สุวรรณพาหุ หรือบอมบ์ ชายชาวภูเก็ตที่ค้นพบว่าตัวเองชอบชุดเครื่องแบบมูลนิธิกุศลธรรมตั้งแต่อายุ 16 กอปรกับการอยากสลัดตัวเองออกจากห้วงอารมณ์แห่งการอกหักในช่วงวัยรุ่น จึงได้ออกมาเดินตามฝันของตัวเองด้วยการสมัครเข้าเป็นสมาชิกมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

ภาระหน้าที่อันหนักอึ้งที่อยู่บนความเป็นความตายของผู้คนมากมายนั้นเป็นเหมือนการปิดทองหลังพระที่น้อยคนนักจะรู้ว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัยนั้นเป็นอย่างไร ต้องเผชิญกับอะไรบ้างอาชีพที่หลายคนมองว่าพวกเขาคงรู้สึกชินชากับภาพสยดสยองหรือความตาย แท้ที่จริงแล้วอาจจะไม่ใช่

“การทำงานของ “นักกู้ชีพ” นั้น เริ่มจากการได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์วิทยุ ซึ่งตรงนี้อยากแจ้งให้ประชาชนได้ทราบว่าหากเกิดเหตุด่วนต้องการความช่วยเหลือ ควรโทร 1669 เพื่อลดขั้นตอนและเพื่อความรวดเร็ว เพราะถึงแม้จะโทร 191 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะโทรมายังกู้ภัยอยู่ดี” คุณบอมบ์เริ่มเล่าให้ฟังถึงระบบหน้าที่ของเขา

“หลังจากได้รับแจ้งเราก็ยังมุ่งหน้าไปที่เกิดเหตุทันที จากนั้นจะประเมินความเสี่ยงของที่เกิดเหตุว่าปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่หรือไม่เพราะถึงแม้ผู้บาดเจ็บจะไม่รอดแต่เจ้าหน้าที่ต้องรอด จะต้องไม่มีการสูญเสียซํ้าซ้อนเกิดขึ้น เราต้องคำนึงถึงชีวิตตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกถ้าหากจุดเกิดเหตุเป็นโค้งบอด เราจะจอดรถฉุกเฉินตรงนั้นเพื่อเปิดสัญญาณไฟให้ผู้สัญจรมองเห็นว่าตรงนี้เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติงานอยู่

เมื่อเข้าถึงผู้บาดเจ็บแล้วเราต้องประเมินระดับความรู้สึกตัว มองหาภาวะคุกคามชีวิต ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่สามารถจะทำให้ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตได้ ซึ่งเราจะต้องแก้ไขตรงนั้นให้ได้ตามสมรรถนะของรถพยาบาลของเราที่ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ช่วยเหลือภายในรถที่จะแตกต่างกันไปหลายระดับ รถของมูลนิธิจะอยู่ในระดับกลางหรือเรียกว่า Basic Life Supportเมื่อช่วยเหลือได้จนอยู่ในภาวะที่เสถียร เช่นถ้าผู้บาดเจ็บอยู่ในภาวะเลือดออกจนปิดกั้นทางเดินหายใจ หลักการของเราที่ถึงจะทำได้คือช่วยสอดท่อเพื่อดูดเลือดออกจากทางเดินหายใจก่อนเพื่อให้หายใจสะดวก
จากนั้นจึงนำเคลื่อนย้ายไปยังโรงพยาบาล แต่ถ้าหากผู้บาดเจ็บอาการหนักกว่านั้น เราทำเพียงได้แค่ช่วยปั๊มหัวใจเพื่อยื้อเวลาให้สมองและรอให้รถพยาบาลที่มีหมอและพยาบาลเข้ามาช่วยเหลือยังที่เกิดเหตุญาติผู้บาดเจ็บหลายคนจึงอาจเกิดอาการไม่พอใจว่าปั๊มหัวใจอยู่ ตรงนี้นานแล้วทำไมถึงไม่นำคนเจ็บไปโรงพยาบาลสักที แต่ความจริงแล้วคือพวกเราเองทำได้แค่นั้น ตามกฏหมายแล้วเราต้องรอให้รถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่มีสมรรถนะมากกว่าเข้ามาช่วยเหลือ

หลายคนคาดหวังให้รถพยาบาลเข้ามารับผู้ป่วยออกไปเลยเพื่อให้ถึงมือหมอได้เร็วที่สุด จึงเกิดการ “เร่ง” เจ้าหน้าที่ให้รีบเคลื่อนย้ายคนเจ็บในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังให้การช่วยเหลืออยู่ เพราะคิดว่าถ้าเกิดว่าเขาเอาไปส่งเองคงเร็วกว่า แต่ความจริงแล้ว นักกู้ชีพเองก็กำลังช่วยเหลือเบื้องต้นอยู่เหมือนกัน และรถกู้ชีพก็มีสัญญาณไฟเป็นอภิสิทธิ์ในการใช้ความเร็วเพื่อเคลื่อนย้ายผู้เจ็บในภาวะการจราจรติดขัด เพราะฉะนั้นหากเกิดเหตุฉุกเฉิน จึงขอแนะนำให้โทรขอความช่วยเหลือจาก1669 จะดีที่สุด

ในด้านพฤติกรรมการ “ให้ทางรถฉุกเฉิน” ของชาวภูเก็ตนั้น มีเพียงแค่ 60% ที่ให้ความร่วมมือ ที่เหลือส่วนใหญ่จะอยู่ในอาการตกใจและทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องเบี่ยงไปทางไหน แต่คนที่ไม่กระเตื้องต่อการขอความร่วมมือใดๆเลยก็มี บ่อยครั้งที่มีรถจี้ท้ายรถฉุกเฉินตอนฝ่าไฟแดง เพื่อขออาศัยสิทธิ์นี้ไปด้วย ที่แย่ที่สุดคือมีครั้งหนึ่ง รถที่จี้ตามมาติดๆชนท้ายรถฉุกเฉินเข้าพอจอดรถลงไปคุย ปรากฏว่าเป็นคนขับแท็กซี่ป้ายดำ พูดได้แค่ว่า “ว้า แย่จัง ว่าจะขออาศัยท้ายรถไปด้วยเพราะต้องรีบไปรับแขกที่สนามบินสักหน่อย” วันนั้นรถฉุกเฉินคันนั้นจึงไปรับคนเจ็บไม่ได้ ต้องแจ้งคันใหม่ และต้องเริ่มดำเนินขั้นตอนใหม่หมดเลย คนเจ็บก็ต้องนอนรอรถคันใหม่ต่อไป

มีบางครั้งที่เกิดการทะเลาะวิวาทแล้วมีคนเจ็บ มูลนิธิได้รับแจ้งให้ไปช่วยเหลือ พอรับคนเจ็บมาบนรถแล้ว คู่กรณีขับรถมาขวางเพื่อขอกระทืบก่อนและไม่ให้พาไปโรงพยาบาล เสื้อผมเองก็ขาดไปตัวนึงเพราะดาบไทยนี่แหละ ต่อให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น แต่เจ้าหน้าที่เองก็ต้องช่วยเหลือตัวเองเหมือนกัน เราทำงานเกี่ยวกับความปลอดภัย แต่สุดท้ายเราก็ยังอยู่บนความเสี่ยงของอารมณ์ชั่ววูบของมนุษย์อยู่ดี

อยู่ในวงการนี้มา 7 ปี ผ่านเหตุการณ์มามากมายก็ยังไม่รู้สึกเคยชินกับการต้องพบเจอการสูญเสีย โดยเฉพาะการเห็นเด็กเสียชีวิต ผมรู้สึกว่ามันเร็วเกินไป เขายังมีโอกาสได้ทำอะไรอีกเยอะ ผมรู้สึกแย่ไปหลายวันทุกครั้งที่มีเคสเด็กเสียชีวิต กลับบ้านมาร้องไห้หลายวันเพราะมันกระทบจิตใจผมมากจริงๆบุคลากรฝีมือดีหลายคนที่ลาออกไปเพราะรับไม่ไหว
ก็มีเยอะ แต่ผมเองตอนนี้ยังไม่คิดว่ารู้สึกแย่จนอยากหยุดทำงานตรงนี้การทำงานด้านนี้ทำให้เราระมัดระวังในการใช้
ชีวิตมากขึ้นเพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่านาทีนี้จะเป็นนาทีสุดท้ายที่เราได้จะได้เจอกันหรือเปล่า ผมเห็นคุณค่าของชีวิตตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้นเหมือนมันทำให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวมันแน่นแฟ้นมากกว่าเดิม แต่ด้านมืดที่ผมได้รับคือการมองโลกในแง่ดีของผมมันน้อยลงเพราะผมเข้าใจโลกมากขึ้นเพราะเราเจอคนหลายรูปแบบ

หลายคนมีอคติกับอาชีพกู้ภัย จากข่าวลือที่เคยได้ยินมา ว่าเจ้าหน้าที่บางคนแอบขโมยทรัพย์สินของผู้บาดเจ็บ สำหรับผมแล้วผมไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรกับเรื่องนี้นัก เพราะเชื่อว่าในทุกสาขาอาชีพนั้นมีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกันหมด ตัวเจ้าหน้าที่กู้ภัยเองก็ต้องเพิ่มความระวังในการทำงานให้มากขึ้น การแตะต้องทรัพย์ของผู้บาดเจ็บนั้นเป็นสิ่ง
ที่ล่อแหลม เราจะพยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุดหน้าที่ตรงนี้จะปล่อยให้เป็นของตำรวจหรือพยาบาล
เป็นคนดูแล

รายได้จากการทำงานอาจจะไม่ได้เยอะ แต่เราก็พออยู่พอกิน เงินที่นำมาจ่ายเป็นเงินเดือนให้เจ้าหน้าที่นั้นมาจากดอกเบี้ยเงินฝากของเงินบริจาคจากประชาชนที่มาบริจาคที่ศาลเจ้า และส่วนหนึ่งของเงินที่ได้รับบริจาคก็จะนำไปซื้ออุปกรณ์ช่วยชีวิตที่จำเป็น มันเป็นเหมือนการนำสิ่งดีๆ คืนสู่สังคม คนภูเก็ตนำเงินมาบริจาค เราก็นำเงินนี้ไปดูแลประชาชนต่อไป อุปกรณ์ทางการแพทย์ รถฉุกเฉินและสิ่งของจำเป็นอื่นๆนั้นมาจากเงินบริจาคของประชาชนทั้งสิ้น

ผมรู้สึกมีความสุขในการช่วยเหลือผู้อื่น ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะเชื่อเหมือนผมหรือเปล่า แต่ในช่วงเวลาที่คนคนหนึ่งกำลังจะตาย สิ่งที่เขาหวังพึ่งคือปาฏิหาริย์เพื่อให้เขารอดชีวิตกลับไปหาครอบครัวของเขา ผมอยากเป็นปาฏิหาริย์เดินดินที่จับต้องได้ ที่ช่วยให้คนได้มีชีวิตอยู่ต่อ ที่ผ่านมาผมมีความสุขกับการทำเพื่อครอบครัว แต่มุมหนึ่งเองก็อยากสัมผัส
ความรู้สึกของการที่ได้ช่วยเหลือคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย” คุณบอมบ์กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่