ทำเนียบขาวเตือนมีหลักฐานซีเรียจ่อใช้อาวุธเคมีโจมตีรอบใหม่

โฆษกทำเนียบขาวยังระบุอีกว่า แม้ว่ากองทัพสหรัฐส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในซีเรียเพื่อสู้รบกับกลุ่มก่อการร้าย แต่หากใช้อาวุธเคมีอีก รัฐบาลของอัลอัสซาดจะต้องชดใช้อย่างสาสมต่อการกระทำดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ทางการไม่ได้ระบุถึงที่มาของคำเตือนนี้ แม้กระทั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการออกคำเตือนฉบับดังกล่าว เพราะโดยปกติแล้วทางทำเนียบขาวจะต้องหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานด้านความมั่นคงก่อนออกแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศอื่น

ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดทำเนียบขาวเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้รับข่าวกรองว่ารัฐบาลซีเรียกำลังเตรียมผสมสารเคมีตั้งต้นซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเป็นแก๊สซารินเพื่อโจมตีพื้นที่ทางตะวันออกและตกของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ของฝ่ายตรงข้ามและเป็นพันธมิตรของสหรัฐ

ภายหลังการแถลงของสไปเซอร์ นิกกี้ ฮาลีย์ ทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ ทวีตข้อความเตือนทำนองเดียวกันอีกว่า หากมีการโจมตีพลเมืองซีเรียอีก ไม่เพียงรัฐบาลอัลอัสซาดเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ รัสเซียและอิหร่านต้องรับผิดชอบการกระทำด้วยในฐานะที่สนับสนุนรัฐบาลซีเรียให้คร่าชีวิตประชาชนของตัวเอง

ปกติแล้วสหรัฐไม่ค่อยออกคำเตือนอย่างตรงไปตรงมาในลักษณะนี้ หลายฝ่ายจึงคาดการณ์ว่า นอกจากจะเป็นการปรามไม่ให้อัลอัสซาดใช้อาวุธเคมีแล้ว ยังมีจุดประสงค์ที่จะส่งสารไปถึงผู้ที่คอยให้การสนับสนุนอย่างรัสเซียและอิหร่าน ที่คอยช่วยรัฐบาลซีเรียปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เคยใช้อาวุธเคมีร้ายแรง

คำเตือนนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณว่า ทรัมป์ พร้อมจะตอบโต้ทันที เหมือนกับเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ครั้งที่ทรัมป์เคยออกคำสั่งให้ยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ก 59 ลูกถล่มในพื้นที่ของรัฐบาลซีเรีย เพื่อสั่งสอนอีกฝ่ายฐานเปิดฉากใช้อาวุธเคมีโจมตีกลุ่มต่อต้าน

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่เรื่องแปลกหากสหรัฐจะเตือนรัฐบาลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมยั่วยุ ก่อนหน้านี้ในสมัย อดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา ก็เคยตักเตือนอัลอัสซาดอย่างตรงไปตรงมาหลังตรวจพบการใช้อาวุธเคมี ทว่า จอน วูล์ฟสธาล อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ มองว่า การเตือนผ่านแถลงการณ์ครั้งล่าสุดนี้ นับว่าผิดปกติและอาจจะมีผลกระทบต่างๆ ตามมา และตั้งคำถามถึงความแม่นยำของข้อมูล เพราะหากไม่มีจริง อาจลดทอนความน่าเชื่อถือของทำเนียบขาว