เจ้าตัวสุดทนจนต้องร้องขอความเป็นธรรม ด้านเจ้าของร้านอาหารทะเลเองก็ให้เหตุผลว่ารับซื้อต่อมาอีกทอด และยอมรับผิดในส่วนที่ไม่ได้ทำการตรวจสอบให้ละเอียด ทั้งยังยินดีหากลูกค้าจะนำสินค้ามาเปลี่ยนคืนและยืนยันหนักแน่นว่าทางร้านไม่ได้นำหินมาถ่วงน้ำหนักเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ส่วนร้านอาหารที่ปรุงเมนูเจ้าปัญหาก็ยังมิได้ออกมาอธิบายถึงความผิดพลาดดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากเราจะหาตัวผู้กระทำผิดก็คงยาก เพราะกระบวนการตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงมือและปากท้องของผู้บริโภคนั้นมันช่างยาวไกล และไม่มีทางที่จะทราบได้ว่าผู้ใดเป็น “หน้ากากหอยหวาน" ที่แท้จริง ในเรื่องนี้ผู้ที่ต้องรับ “กรรม” ณ ปลายทางของวงจรการค้าหอยหวานก็คือ “ผู้บริโภค” นั่นเอง
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มองเห็นในอีกหลากหลายมุมและหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ที่บางครั้งเราอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่เป็นไร ให้อภัยกันได้ เพราะอย่างไรแล้วโดยพื้นฐานจิตใจของคนไทยเรา ก็คือความมีน้ำใจ แบ่งปัน และพร้อมที่จะให้อภัยซึ่งกันและกันเสมอ
อย่างนี้เอง คนบางกลุ่มจึงได้ฉวยโอกาสที่จะเอารัดเอาเปรียบผ่านทางช่องว่างนี้ เพื่อหวังให้ได้มาซึ่งเงินทอง โดยที่ไม่คำนึงถึงความถูกต้องและเป็นธรรมสำหรับผู้บริโภคเลย
เฉกเช่นการโกงตาชั่งของพ่อค้าแม่ค้าบางราย ที่พยายามจะเอาเปรียบลูกค้าทุกวิถีทาง ซื้อผักผลไม้ 1 กก. แต่กลับได้เพียง9 ขีดหรือน้อยกว่า บางครั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เราก็ปล่อยปละละเลยกันไป ทั้ง ๆ ที่เราควรจะได้ของในน้ำหนัก 1 กก. ตามราคาที่เราได้จ่ายไป บางคราวที่ลูกค้าทักท้วงผู้ขายบางรายกลับต่อว่าแถมยังขู่อีกว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ “กรรม” ก็มาตกกับผู้บริโภคอีกคราว เมื่อของมันปลูกเองไม่ได้ก็ต้องซื้อเขา
แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีพ่อค้าแม่ขายอีกเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นส่วนใหญ่เลยทีเดียวที่ค้าขายด้วยหัวใจยุติธรรม โอภาปราศรัย และนั่นก็เป็นอีกตัวเลือกเล็ก ๆ ที่ ผู้บริโภคอย่างเราสามารถจะมีได้ ซึ่งแน่นอนว่าร้านใดซื่อตรง ยุติธรรม ผู้บริโภคอย่างเราก็จะแวะไปเยี่ยมเยือนอยู่เสมอและกลายเป็นลูกค้าประจำไปแบบไม่ต้องกังขา เพราะท้ายที่สุดแล้ว “น้ำใจและการพึ่งพาอาศัยกัน” ก็คือสิ่งที่จำเป็นในสังคมและช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข