นอกจากนี้ นายจอห์นยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตนเองค่อนข้างสับสนกับข้อมูลที่ผู้ให้ข่าวในนามมูลนิธิฯ ผู้ไม่เปิดเผยนามได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่มีเหตุสุนัขเข้าทำร้ายนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน (อ่านเพิ่มเติม คลิก) ว่า “ทางเราไม่ทราบว่าบุคคลดังกล่าวนี้เป็นใคร อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นดังกล่าว ไม่ใช่ความคิดเห็นจากทางมูลนิธิฯ และบุคคลดังกล่าวก็ไม่มีอำนาจในการให้สัมภาษณ์ในนามมูลนิธิฯ”
“ทางเราคิดว่า กรณีดังกล่าวนี้ น่าจะเป็นสุนัขดุร้ายบางตัวในกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดในยาง แต่ไม่น่าจะใช่สุนัขกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณหน้าร้านอาหารหรือโรงแรมด้านหน้าหาด เพราะสุนัขกลุ่มนี้จะเป็นมิตร และเป็นที่รักของทั้งคนในชุมชนและนักท่องเที่ยว เราเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าหากสุนัขกัดคนก็ควรจะต้องถูกกันออกจากพื้นที่” นายจอห์น กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางการอาจจะต้องมีการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเรื่องดังกล่าวเป็นมาอย่างไร เพราะอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด และอาจมีความพยายามที่จะจับสุนัขที่อยู่บนท้องถนนอย่างอิสระไปอยู่ในบ้านพักพิงสุนัข สวนป่าบางขนุน
ทางมูลนิธิฯ เชื่อว่าการพยายามนำสุนัขเข้าสู่บ้านพักพิงฯทั้งหมดเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก และอาจส่งผลกระทบในทางลบในเรื่องจำนวนประชากรสุนัขและการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า
นอกจากนี้ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ยังได้ระบุอีกว่า ทางจังหวัดภูเก็ตควรมุ่งเน้นในเรื่องของการควบคุมลูกสุนัขที่นำเข้ามาในจังหวัด ซึ่งเป็นลูกสุนัขจากฟาร์มที่อยู่ในพื้นที่ที่โรคพิษสุนัขบ้าระบาด ทั้งนี้ ลูกสุนัขเหล่านี้จะถูกทิ้งหากขายไม่ออก ส่วนลูกสุนัขที่ขายได้นั้น หลายๆ ตัวก็ถูกทิ้งข้างถนนเมื่อแก่ตัวลงเช่นกัน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จำนวนของสุนัขจรจัดในภูเก็ตลดลงอย่างมาก และภูเก็ตก็ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่ปลอดโรคพิษสุนัขบ้าอีกด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการทำหมันและฉีดวัคซีนให้แก่สุนัขจรจัดในวงกว้าง จัดโดยมูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย โดยสุนัขเหล่านี้จะได้รับการปล่อยกลับสู่ถิ่นเดิมหลังการทำหมันและฉีดวัคซีนแล้ว
“การย้ายสุนัขที่ได้รับการทำหมันและฉีดวัคซีนแล้วออกจากพื้นที่เดิมจะทำให้สุนัขพวกใหม่ย้ายเข้ามาแทนสุนัขเจ้าถิ่นซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างใด” นายจอห์น กล่าวสรุป