ผลโพลทิ้งทวนชี้ คะแนนนิยมในตัวโอบามาสูงติดอันดับต้นๆ
19 มกราคม 2560, 15:57
โพสต์ทูเดย์ -60% ของชาวอเมริกันนิยมชมชอบในตัวบารัก โอบามา และจะคิดถึงประธานาธิบดีคนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้วก็ตาม ประธานาธิบดีบารัก โอบามาอำลาตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 44 ไปด้วยคะแนนนิยมที่สูงถึง 60% นับเป็นคะแนนความนิยมที่มากที่สุด ที่โอบามาได้รับมา นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โพลสำรวจจาก CNN และ ORC ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา คะแนนความนิยมที่โอบามาได้รับนี้ นับว่าเป็นคะแนนที่สูงติดอันดับต้นๆ เทียบเท่ากับประธานาธิบดีสหรัฐคนก่อนๆเลยทีเดียว เช่น บิล คลินตัน ที่ได้คะแนนความนิยม 66% หรือ โรนัลด์ เรแกน ที่คะแนนความนิยมอยู่ที่ 64% ในช่วงอำลาตำแหน่ง ผลการสำรวจอื่นๆ ในตัวความนิยมของบารัก โอบามา ยังประกอบไปด้วย 65% ของผู้ถูกสำรวจกล่าวว่าโอบามา เป็นประธานาธิบดีที่ประสบความสำเร็จ โดย 49% ระบุว่า ความสำเร็จดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากจุดแข็งในตัวโอบามาเอง 25% กล่าวว่า โอบามาเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ดีที่สุดของสหรัฐ แต่อีก 23% กล่าวว่าเขาเป็นประธานาธิบดีที่ไมได้เรื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นเสียงที่แตกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย 50% ของผู้ถูกสำรวจระบุว่าสหรัฐดีขึ้นกว่าก่อน ทั้งนี้คะแนนในข้อนี้เพิ่มขึ้นมาก จากเดิมอยู่ที่เพียง 21% เท่านั้น ในสมัยแรกที่โอบามาดำรงตำแหน่ง 57% กล่าวว่าเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น เปรียบเทียบกับในสมัยแรกของการเป็นประธานาธิบดี ในขณะนั้นผู้คนที่คิดว่าเศรษฐกิจดีขึ้นมีเพียง 13% เท่านั้น ด้านนโยบาย ชาวอเมริกันเทคะแนนให้แก่โอบามาสำหรับนโยบายด้านเศรษฐกิจ, การต่างประเทศ และการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ นอกจากนั้นยังยกย่องเขาเกี่ยวกับนโยบายทางการศึกษา, การสนับสนุนบรรดา LGBT ไปจนถึงนโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อม และการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ อย่างไรก็ตามมีชาวอเมริกันไม่น้อยที่ไม่พอใจกับนโยบายการควบคุมอาวุธปืน และการจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายอิสลาม และสำหรับมุมมองที่มีต่ออนาคต 47% มองว่าสหรัฐอเมริกาจะดีขึ้นกว่าเดิม ใน 4 ปีข้างหน้า และอีก 48% มองว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ลง ทั้งนี้ผลสำรวจดังกล่าวถูกจัดทำขึ้น ในช่วงวันที่ 12 -15 มกราคมที่ผ่านมา โดยทำการสำรวจ ผู้ใหญ่จำนวน 1,000 คน แบบไม่เฉพาะเจาะจงเชื้อชาติ

‘เจ๊เกียว’ ร้องขอลดค่าธรรมเนียมเที่ยววิ่ง
19 มกราคม 2560, 15:42
โพสต์ทูเดย์ - นางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารขนส่งและผู้บริหาร บริษัท เดินรถ เชิดชัย จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากนำสมาชิกสมาคมผู้ประกอบการเข้าพบนายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการคมนาคม เพื่อเข้าร้องเรียนให้กระทรวงช่วยเร่งรัดบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ผ่อนผันการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเที่ยววิ่ง หรือค่าขา ให้เป็นไปตามเที่ยววิ่งที่แท้จริง  เนื่องจากขณะนี้จำนวนเที่ยววิ่งจริงน้อยกว่าที่ได้ตกลงไว้กับ บขส. แต่ยังเสียค่าเที่ยววิ่งเต็มจำนวนเดิมแม้ไม่มีผู้โดยสารใช้บริการ รวมถึงต้องการให้ บขส.กำหนดราคาค่าโดยสารเป็นไปตามต้นทุนจริงเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการ  นางสุจินดา กล่าวต่อว่า ในการเข้าพบครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการได้เสนอให้รถร่วมแยกออกจาก บขส. ซึ่งทางสมาคมฯ เห็นด้วย เพราะเป็นความยุติธรรมทำให้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเที่ยววิ่ง อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการและกำหนดเที่ยววิ่งได้เอง ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพของผู้ประกอบการในแต่ละจังหวัดซึ่งมีผู้ประกอบการจำนวนมากสามารถรวมตัวเพื่อบริหารร่วมกันได้ไม่ยาก ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมพร้อมดูแลข้อเสนอที่ทางสมาคมผู้ประกอบการเรียกร้องมา แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน นางสุจินดา กล่าวว่า ภายหลังจากเหตุการณ์รถตู้พุ่งชนรถกระบะจนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 25 ศพนั้น ส่งผลให้ประชาชนหันมาใช้บริการรถทัวร์ของบริษัท เดินรถ เชิดชัย จำกัดมากขึ้น จนยอดผู้โดยสารเพิ่มขึ้นประมาณ 30% ทั้งนี้สมาคมผู้ประกอบการเห็นด้วยกับนโยบายการเปลี่ยนรถตู้เป็นไมโครบัสเนื่องจากมีความเป็นสากลในแง่ความปลอดภัยและมาตรการงานบริการอีกทั้งยังไม่มีประเทศไหนในโลกที่นำรถตู้มาวิ่งบริการผู้โดยสาร ดังนั้นสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารขนส่งพร้อมดำเนินการเปลี่ยนรถตู้เป็นรถไมโครบัสเพื่อออกวิ่งบริการแก่ผู้โดยสารตามแนวทางของรัฐบาลแลกระทรวงคมนาคม ส่วนจะนำรถมาวิ่งกี่คัน และเส้นทางใดบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของประชาชนและกระทรวงคมนาคมว่ามีความต้องการเท่าใดโดยเบื้องต้นจะรอความชัดเจนด้านตัวเลขจำนวนผู้ใช้และเส้นทางเสียก่อน แต่ขณะนี้สมาคมฯมีรถทัวร์พร้อมให้บริการมากกว่า 10,000 คัน อย่างไรก็ตามด้านความคืบหน้าการติดตั้งจีพีเอสของบริษัท เดินรถ เชิดชัย จำกัด ขณะนี้ยังติดตั้งไม่ครบทั้งหมดซึ่งได้เลือกติดตั้งเฉพาะรถทัวร์ที่วิ่งบริการประจำก่อน









ธปท. ธนาคารปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อรับการใช้จ่ายในอนาคต หวั่นฟินเทคเทระบบธนาคาร
14 มกราคม 2560, 11:00
นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผย อนาคตธนาคารอยู่ยาก เพราะเจอพิษฟินเทคแย่งตลาด แนะปรับรูปแบบธุรกิจ เลิกเน้นเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม ควรพัฒนาการด้านเทคโนโลยีทางการเงิน(ฟินเทค) มีความรวดเร็วและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันผู้บริโภคมากขึ้น และให้บริการทางการเงินแทนธนาคารได้เกือบทุกด้านแล้ว ฉะนั้น โครงสร้างระบบการเงินในไทยต้องเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น สถาบันการเงิน รัฐบาล และ ธปท.เองล้วนต้องปรับตัวรองรับปัจจุบันแบงก์ทั่วโลกใช้ "ฟินเทค" เพื่อเป็นการใช้จ่ายในอนาคต เนื่องจาก การใช้ชีวิประจำวันของคนเราได้เปลี่ยนไป และเราทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่า เทคโนโลยีได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ดังนั้น กอปรกับความก้าวหน้าของเทคโลโยลี ส่งผลให้ภาคธุรกิจธนาคารจำเป็นต้องเร่งเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อดึงดูดใจลูกค้ายุคใหม่ ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์กับธุรกิจการเงินการธนาคาร หรือ “ฟินเทค” กำลังปรับตัวขึ้นและมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องธนาคารหลายแห่งทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้เปิดให้บริการแอพพลิเคชั่น ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสมาร์ทโฟน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และเปิดโอกาสให้เจ้าของบัญชีสามารถบริหารจัดการดูแลบัญชีของตนได้โดยไม่ต้องไปที่ธนาคารในขณะเดียวกัน ธนาคารกรุงศรีฯ จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อร่วมลงทุนสนับสนุนฟินเทคภายในปีนี้ นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิทัลแบงก์กิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เตรียมแยกการบริหารงานด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) ออกเป็นบริษัทลูกภายใต้ธนาคาร มีทุนจดทะเบียนหลักสิบล้านบาท เพื่อรองรับการร่วมลงทุน (เวนเจอร์แคปปิตอล) กับผู้ประกอบการฟินเทคและสตาร์ทอัพ ช่วยให้คล่องตัวในการร่วมลงทุน คาดว่าแล้วเสร็จภายในปีนี้

หนุ่มบังกลาเทศป่วยหูดงอกจากมือและเท้าดั่งมนุษย์ไม้ เตรียมออกจากรพ. หลังผ่าตัดถึง 16 ครั้ง ดีใจได้อุ้มลูกสาว
13 มกราคม 2560, 12:10
เมื่อวันที่ 6 ม.ค. สำนักข่าวเทเลกราฟรายงานว่า นายอาบูล บาจันดาร์ อายุ 27 ปี ชาวบังกลาเทศ เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมตัดหูดที่งอกบริเวณมือและเท้ารวมน้ำหนัก 5 กิโลกรัม ถึง 16 ครั้ง ที่โรงพยาบาลวิทยาลัยการแพทย์ธากา กรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ ซาแมนธา ลัล เซน ผู้ประสานงานผ่าตัดศัลยกรรม โรงพยาบาลวิทยาลัยการแพทย์ธากา กล่าวว่า การรักษานายบาจันดาร์นับว่าเป็นความก้าวสำคัญครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะแพทย์ต้องทำการผ่าตัดอย่างน้อย 16 ครั้ง เพื่อนำหูดที่มีอยู่ทั้งหมดออกจากร่างกาย ตอนนี้ทั้งมือและเท้าของนายบาจันดาร์เกือบคืนสู่สภาวะปกติแล้ว โดยนายบาจันดาร์จะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ภายใน 30 วันหลังการผ่าตัดย่อยอีก 2-3 ครั้ง เพื่อตกแต่งรูปทรงของมือ 2 ข้างให้สมบูรณ์ ขณะที่นายบาจันดาร์กล่าวว่าไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้อุ้มลูกสาวด้วยมือของเขาเอง สำหรับนายบาจันดาร์ แต่งงานแล้ว มีลูกสาวอายุ 3 ขวบ ประกอบอาชีพขี่รถสามล้อรับจ้าง เป็นเพียง 1 ใน 4 คนของโลก ที่เคยมีการตรวจพบว่าเป็นโรคที่มีชื่อเรียกในทางการแพทย์ว่า epidermodysplasia verruciformis ซึ่งเป็นสภาพทางพันธุกรรมที่หาได้ยากอย่างยิ่ง จนกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว ที่มา telegraph.co.uk


ตำรวจเจ้าของคดีครูแพะแจงไม่ได้กลั่นแกล้ง
13 มกราคม 2560, 10:06
ตำรวจเจ้าของคดีครูแพะแจงทำการสอบสวนคดีตรงไปตรงมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีการกลั่นแกล้ง ขอประชาชนอย่าฟังความข้างเดียว เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2560 พ.ต.ท.ทนงศักดิ์ โพธิ์โหน่ง รองผกก.( สอบสวน) สภ.คำชะอี ช่วยราชราชการ สภ.ผึ่งแดด อ.เมือง จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน สภ.นาโดน อ.เรณูนคร จ.นครพนม เจ้าของคดีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครูโรงเรียนบ้านม่วงไข่ประชาราษฎ์สงเคราะห์ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ ถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต เมื่อปี 2556 และได้รับการอภัยโทษเมื่อปี 2558 รวมโทษจำคุก 1ปี 6 เดือน แต่ไปร้องเรียนกระทรวงยุติธรรมขอให้รื้อฟื้นคดีใหม่เพราะยืนยันเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่เคยขับรถชนใคร พ.ต.ท.ทนงศักดิ์ กล่าวว่า เป็นผู้ทำการสอบสวนคดีนี้ ได้ทำคดีดังกล่าวไปตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงไว้ทุกขั้นตอน โดยไม่มีเลศนัย ไม่มีการกลั่นแกล้ง ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีการเรียกร้องรับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ขอวิงวอนประชาชนอย่าฟังความข้างเดียว ทั้งนี้ ขณะเข้าเวรพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุว่ามีรถยนต์ชนรถจักรยาน 2 ล้อ มีผู้บาดเจ็บจึงรุดไปที่เกิดเหตุส่วนรถยนต์ได้หลบหนีไปแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บมีพลเมืองดีส่งโรงพยาบาลนาแก ได้ถ่ายภาพ ทำแผนที่เกิดเหตุ และได้ไปดูผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล ซึ่งต่อมาได้เสียชีวิตได้สอบพยาน 3 ปากมีป้ายทะเบียนหน้ากับกันชนสีถลอกที่ติดรถจักรยาน 2 ล้อกับบังโคลนหน้า สอบปากคำเจ้าของรถให้การว่า ได้ไปยืมรถยนต์ในช่วงเช้าเพื่อไปทำธุระ ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวมีการจำหน่ายให้ญาติไปแล้วแต่ได้ยืมไปทำธุระก่อน นอกจากนี้ เมื่อได้ตรวจสอบรถคู่กรณีทั้งสองคันปรากฏว่าเข้ากันได้ในช่วงสูงต่ำ จึงขอป้ายทะเบียนรถยนต์ และจักรยาน 2 ล้อ ส่งไปที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลออกมาว่าเป็นสีเดียวกันเข้ากันได้ ต่อมาจึงได้ออกหมายเรียกไปยังผู้ถูกกล่าวหามาพบพนักงานสอบสวนพร้อมทนาย ในชั้นสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ ขอให้การชั้นศาล โดยไม่ขออ้างพยานใดๆ แต่จะไปอ้างพยานแถลงข้อเท็จจริงในชั้นศาลกระทั่งศาลมีคำพิพากษา.