บุตรสาวเจ้าของสิทธิ์ที่ดินหาดฟรีดอมโผล่อีกราย ลั่นขอสู้ตาย

ภูเก็ต - ระบุเป็นตัวจริงครอบครองที่ดินมือเปล่ามาเวลากว่า 76 ปี ก่อนมารดาถูกนายหน้าลวงมอบอำนาจไปดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ สุดท้ายพอออกโฉนดได้กลับเบี้ยวเงินและขับไล่ กลั่นแกล้งครอบครัวออกจากพื้นที่ ลั่นขอสู้ตายทวงคืนสิทธิ์ หรือไม่ได้ก็ให้คืนเป็นสมบัติชาติ

เอกภพ ทองทับ

วันเสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม 2560, เวลา 11:43 น.

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 12 พฤษภาคม 2560 ที่ห้องนนทรีย์ โรงแรมภูเก็ต เมอร์ลิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นางสาวยุพิน หรือ พีร์ธรัศม์ หูตาชัย อายุ 38 ปี ชาว จ.ภูเก็ต  บุตรของนายประสงค์-นางตา หูตาชัย ซึ่งอ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินมือเปล่า จำนวน 2 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 65 ไร่เศษ ตั้งอยู่บริเวณหาดฟรีดอม หมู่ที่ 1 ต.กะรน ร่วมกับนายประดิษฐ์ ช่วยธานี ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย แถลงข่าวขอความเป็นธรรมและคัดค้านการออกโฉนดที่ดินแปลง 2 แปลงดังกล่าว ซึ่งทางสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต ได้มีการอนุมัติออกโฉนดไปเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2554 คือ โฉนดเลขที่ 98414 กับ 98415 เลขที่ 1, 2 ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต (มีชื่อนายเอกชัย แซ่อิ๋ว กับนายวิโรจน์ คงแก้ว เป็นเจ้าของโฉนด) 

โดยอ้างว่า เป็นการออกโดยมิชอบ เนื่องจากผู้มีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดนั้นไม่ใช่ผู้ครอบครองที่แท้จริงและต้องการที่ดินทั้ง 2 แปลงคืนกลับมาเป็นของตนเอง เนื่องจากเป็นทายาทของผู้ครอบครองสิทธิมาตั้งแต่สมัยตายายเป็นเวลากว่า 76 ปี และหากไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ก็อยากให้ที่ดินดังกล่าวคืนเป็นที่หลวงหรือที่ป่าไม้ต่อไป
 
นายประดิษฐ์ ได้ชี้แจงความเป็นมาของการออกมาแถลงข่าว และที่มาของที่ดิน 2 แปลงดังกล่าว ว่านางสาวพีร์ธรัศม์เป็นทายาทคนเดียวของผู้ครอบครองที่ดิน 2 แปลง ดังกล่าว คือที่ดินโฉนดเลขที่ 98414, 98415 เลขที่ดิน 1, 2 ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต โดยเป็นบุตรของนายประสงค์ -นางตา หูตาชัย ซึ่งครอบครองที่ดินมือเปล่าทั้ง 2 แปลงดังกล่าว เนื้อที่ 65 ไร่เศษ คือ 34-3-87 ไร่ และ 19-3-0.04 ไร่ โดยครอบครองต่อมาจากบรรพบุรุษรุ่นตาและยายตั้งแต่ปี 2485  ด้วยการปลูกพืชผลอาสิน เช่น กล้วย สะตอ เป็นต้น และบ้านพักอาศัย สืบทอดกันมาอย่างเปิดเผยจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 76 ปี 
 
กระทั่งในปลายเดือนเมษายน 2554 นางตา มารดาของนางสาวพีร์ธรัศม์ได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต เพราะสืบทราบว่า นายเอกชัย แซ่อิ๋ว และนายวิโรจน์ คงแก้ว ได้นำที่ดินแปลงดังกล่าว ไปยื่นขอออกโฉนดกับสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต และได้มีการออกโฉนดให้แก่บุคคลทั้งสองเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 
 
ต่อมาในปี 2555 นางตา ได้มอบอำนาจให้นางสาวพีร์ธรัศม์ ฟ้องดำเนินคดีกับผู้ที่มีชื่ออยู่ในโฉนดทั้ง 2 คน และ บุคคลภายนอกที่ได้ร่วมกันกระทำผิดเพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำ ที่ 424/2555  เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ออกโดยมิชอบ พร้อมคืนโฉนดให้แก่สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตออกโฉนดใหม่ให้เป็นชื่อนางตา หูตาชัย เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ นอกจากนั้นยังห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวขัดขวางการเพิกถอนโฉนดทั้งสองแปลง และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านบาทไว้ด้วย โดยคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการจำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอผลการพิจารณาเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว และอยู่ระหว่างศาลปกครองพิจารณาคำร้องของผู้ยื่นคัดค้านหลังกรมที่ดินเสนอเพิกถอน 
 
ทั้งนี้เหตุที่มีการนำที่ดิน 2 แปลงดังกล่าว ไปออกโฉนดเป็นชื่อคนอื่นนั้น เนื่องจากมีนายหน้าขายที่ดินรายหนึ่ง มาติดต่อกับนางตา เพื่อนำที่ดินไปขาย ซึ่งตกลงราคาเมื่อประมาณสิบปีที่แล้วมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท โดยนายหน้าฯ ได้มีการออกอุบายในลักษณะว่า หากเสนอขายว่าเป็นที่ดินมือเปล่าจะไม่มีความน่าเชื่อถือ หากสามารถนำไปออกโฉนดได้จะมีราคาดีกว่า และจะเป็นที่สนใจของผู้ซื้อ เพราะขณะนั้นมีผู้ซื้อหลายรายมีความสนใจจะซื้อที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว จึงอาสาเอาที่ดินไปออกโฉนด ภายหลังจากขายที่ดินได้แล้วจะนำเงินมามอบให้แก่นางตาเต็มจำนวน จึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจขายที่ดินทั้งสองแปลงแก่นายหน้าฯ กระทั่งทางบิดาทราบว่านายหน้ามีการร่วมกับนายทุนไปยื่นออกโฉนดที่ดินสองแปลงและเป็นชื่อของบุคคลอื่น จึงได้มีการคัดค้านการออกโฉนดเมื่อประมาณต้นเดือนมีนาคม 2538 กระทั่งบิดาเสียชีวิตก่อน และมารดาก็ได้มีการแจ้งคัดค้าการออโฉนดแทน และยังคงครอบครองที่ดินดังกล่าวมาตลอด
 
ต่อมาในช่วงประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ทางนายหน้าพร้อมด้วยบุตรชาย ได้มาพบกับนางสาวพีร์ธรัศม์  พร้อมด้วยเอกสาร 2 ฉบับ ซึ่งเขียนหัวข้อว่า สัญญาว่าจ้างดูแลที่ดิน  โดยบอกว่าจะเอามาให้นายธรเซ็นฯ แต่ปรากฏนายธรไม่อยู่ ได้ขอให้นางสาวพีร์ธรัศม์เซ็นแทน และจะโอนเงินค่าจ้างให้นายธรเดือนละ 19,000 บาท เพื่อช่วยเหลือค่าซื้อยาฆ่าหญ้า ตัดหญ้าถางหญ้า และแจ้งว่าไม่เจตนาผูกพัน และบังคับเกี่ยวกับสัญญาใดๆ และยังคงให้นางสาวพีร์ธรัศม์อยู่ได้ตามสิทธิ  
 
กระทั่งปลายเดือนสิงหาคม 2555 ได้รับหมายเรียกจากศาลภูเก็ต และมีการนำหนังสือสัญญาดังกล่าวมาฟ้องขับไล่นางสาวพีร์รัศม์ให้ออกจากพื้นที่ โดยระบุว่า ขอยกเลิกสัญญาว่าจ้าง นอกจากนั้นยังมีการข่มขู่และกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ทำให้รู้สึกว่าถูกรังแกมาโดยตลอด จึงออกมาเพื่อทวงสิทธิอันพึงมี และขอคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน 2 แปลงดังกล่าว
 
ขณะที่นางสาวพีร์ธรัศม์ กล่าวว่า การที่ออกมาพูดนั้น เพื่อต้องการทวงสิทธิคืน และต้องการให้มีการยกเลิกเอกสารสิทธิ์ที่ออกให้กับบุคคลทั้ง 2 ราย เพราะทั้งรายไม่ใช่ผู้ครอบครองสิทธิโดยชอบธรรม รวมทั้งยังใช้กลอุบายกับแม่ของตนซึ่งเป็นอายุมาก และไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายต่างๆ ในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินในราคา 150 ล้านบาท และจ่ายมัดจำไว้ 500,000 บาท แต่สุดท้ายโฉนดกลับไปออกในชื่อของบุคคลอื่น และเงิน 150 ล้านก็ยังไม่ได้ และที่ผ่านมาหลังจากแม่เสียชีวิตตนก็ถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เช่น แจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามีการลักลอบปลูกกัญชา มีคนเอาปืนมาข่มขู่ มีการเผาบ้านพัก เป็นต้น รู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมากถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมามีการไปแจ้งความและร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปัจจุบันทำได้เพียงการดูแล ที่ดินอยู่ห่างๆ ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้
 
“การออกมาในครั้งนี้ เพื่อต้องการร้องขอความเป็นธรรม และต้องการให้สังคมได้รับรู้ว่าที่ดินทั้ง 2 แปลง มีความเป็นมาอย่างไร ก่อนหน้านี้ใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง และที่ดินแปลงดังกล่าวยังไม่ได้ขายให้กับใคร มีเพียงการทำสัญญาซื้อขายกันในราคา 150 ล้าน แต่ยังไม่มีการจ่ายเงินกัน หลังจากนี้จะเดินหน้าสู้ต่อไป เพื่อให้ได้ที่ดินแปลงดังกล่าวกลับมา แต่หากไม่ได้กลับมาเป็นของตนก็ขอให้กลับไปเป็นของรัฐ” นางสาวพีร์ธรัศม์ กล่าว

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่