(1) กฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ.2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
(2) กฎกระทรวงฉบับที่ 21 (พ.ศ.2560) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
ทดสอบเมาแล้วขับ เป่าลมหายใจ ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด
ข้อ 2 การทดสอบผู้ขับขี่ว่าเมาสุราหรือไม่ ให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่โดยวิธีตรวจวัดจากลมหายใจด้วยเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยการเป่าลมหายใจ (BREATH ANALYZER TEST) และอ่านค่าของแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ วิธีการทดสอบตามวรรคหนึ่ง ให้ปฏิบัติตามวิธีการตรวจสอบของเครื่องตรวจแต่ละชนิด
ข้อ 3 ในกรณีที่ไม่สามารถทดสอบผู้ขับขี่โดยวิธีตรวจวัดจากลมหายใจได้ ให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ตรวจวัดจากปัสสาวะ (ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ขับขี่ก่อนจึงจะดำเนินการได้)
(2) ตรวจวัดจากเลือด (ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ขับขี่ก่อนจึงจะดำเนินการได้)
ขั้นตอนการตรวจปัสสาวะ เจ้าพนักงานจะต้องหาสถานที่มิดชิด เหมาะสม ภาชนะจัดเก็บต้องมีฝาปิดผนึก
ข้อ 4 การทดสอบโดยวิธีตรวจวัดจากปัสสาวะตามข้อ 3 (1) ให้ทดสอบจากตัวอย่างปัสสาวะของผู้ขับขี่ โดยในการเก็บตัวอย่างดังกล่าวต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(1) จัดให้มีภาชนะที่เหมาะสมสำหรับเก็บตัวอย่างปัสสาวะพร้อมฝาปิดให้แก่ผู้ขับขี่
(2) จัดให้ผู้ขับขี่ขับถ่ายปัสสาวะในสถานที่ที่เป็นส่วนตัว โดยมีการควบคุมการเก็บตัวอย่างเพื่อป้องกันมิให้มีการสับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลง
(3) จัดให้มีการระบุข้อมูลเกี่ยวกับตัวอย่างปัสสาวะบนฉลากของภาชนะตาม (1) และมีการปิดผนึกภาชนะดังกล่าวด้วย โดยให้ผู้ขับขี่ลงลายมือชื่อกำกับบนฉลากนั้น
เมื่อได้เก็บตัวอย่างปัสสาวะของผู้ขับขี่ตามกรรคหนึ่งแล้ว ให้หัวหน้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานจราจร แล้วแต่กรณี ส่งตัวอย่างปัสสาวะไปยังโรงพยาบาล หรือสถานที่และภายในระยะเวลาที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด เพื่อให้ห้องปฏิบัติการทางเคมี ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวอย่างปัสสาวะดังกล่าว ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม
ข้อ 5. การทดสอบโดยวิธีตรวจวัดจากเลือดตามข้อ 3 (2) ให้หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานจราจร แล้วแต่กรณี ส่งตัวผู้ขับขี่ไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดภายในระยะเวลาที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด เพื่อเก็บตัวอย่างเลือดด้วยวิธีทางการแพทย์ ซึ่งต้องไม่เป็นอันตรายอย่างอื่นต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลนั้น ทั้งนี้ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม
ผู้ขับขี่อายุต่ำกว่า 20 ปี แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มก.เปอร์เซ็นต์ / ผู้ขับขี่ทั่วไป แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มก.เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับ
ข้อ 6 ในกรณีที่ผลการทดสอบปรากฏว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเมาสุรา
(1) ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่ในกรณีดังต่อไปนี้
(ก) ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปี
(ข) ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
(ค) ผู้ขับขี่ซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้
(ง) ผู้ขับขี่ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
(2) ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่ซึ่งมิใช่ผู้ขับขี่ตาม (1)
ข้อ 7 ในการตรวจวัดจากลมหายใจหรือปัสสาวะ ให้เทียบผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายที่ได้รับจากเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยการเป่าลมหายใจ หรือผลทดสอบทางเคมีจากการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวอย่างปัสสาวะ แล้วแต่กรณีโดยใช้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีตรวจวัดจากลมหายใจ ให้ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่าเท่ากับ 2,000
(ข) กรณีตรวจวัดจากปัสสาวะ ให้ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่าเท่ากับเศษ 1 ส่วน 1.3