โดยจุดแรกได้เดินทางไปที่ท่าเรืออ่าวฉลอง เพื่อตรวจสอบจุดจอดเรือและความพร้อมในการตรวจสอบเรือก่อนปล่อยนักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยวตามเกาะแก่งและดำน้ำดูปะการัง จากนั้นได้เดินทางต่อไปที่ท่าเรือรัษฏา, ท่าเรือพิสิทธิ์ พันวา, ท่าเรือโบ๊ท ลากูน และอู่ต่อเรือรัตนชัย รวมถึง อ่าวปอ ซึ่งทุกจุดเป็นท่าจอดเรือสำคัญในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
ล่าสุดได้มีการปรับระเบียบการนำเรือท่องเที่ยวออกไปตามเกาะแก่ง โดยกำหนดให้คนขับเรือนายท้ายเรือต้องแจ้งชื่อ และรายละเอียดของตัวเรือ รวมถึงจำนวนผู้โดยสารที่แน่ชัด รวมถึงพิกัดที่จะไปท่องเที่ยว ให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าท่าจังหวัด ตำรวจท่องเที่ยว และฝ่ายปกครอง ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่ในบริเวณดังกล่าวทราบก่อนออกเรือทุกครั้ง นอกจากนั้นยังไปตรวจสอบมาตรฐานตัวเรือและการประกอบเรือโดยกำหนดว่าจะต้องมีแบบพิมพ์เขียวของเรือทุกลำที่ผ่านการตรวจสอบโดยให้เจ้าหน้าที่ลงลายเซ็นต์รับรองมาตรฐานทุกลำ และหากเกิดปัญหากับเรือลำใด ผู้ตรวจสอบเรือต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย หากเรือที่เกิดเหตุไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การตรวจมาตรฐานตัวเรือซึ่งมีอยู่กว่า 400 ลำ ขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว 200 ลำ พบเรือที่มีปัญหา 10 ลำซึ่งได้สั่งให้หยุดกิจการไปแล้ว ส่วนการดำเนินการตรวจสอบท่าเรือ ซึ่งมีอยู่กว่า 24 แห่งนั้น ขณะนี้ได้สั่งให้มีเจ้าหน้าที่ประจำจุด 4 ฝ่ายประกอบด้วย เจ้าท่า ตำรวจท่องเที่ยว ไลฟ์การ์ด และกองทัพเรือ หากไม่ได้รับอนุมัติก็จะไม่มีสิทธิ์ออกจากท่าเรือ เช่นเดียวกับอู่ต่อเรือ ซึ่งมีอยู่ 13 แห่งทั่วเกาะภูเก็ต ขณะนี้ได้มีการตรวจสอบการต่อเรือทุกลำโดยให้เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า เป็นผู้ตรวจสอบหากเกิดปัญหากับตัวเรือที่ผ่านการตรวจสอบ กรมเจ้าท่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
“มาตรการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่เห็นอยู่นี้ก็เพื่อต้องการให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนประเทศไทยเกิดความเชื่อมั่น ส่วนนักท่องเที่ยวจีนนั้นล่าสุดได้มีการสั่งเปิดช่องวีไอพี ตั้งแต่ลงเครื่องที่ท่าอากาศยาน เป็นการอำนวยความสะดวกขั้นสูงสุดเพื่อแสดงความจริงใจให้เห็นว่าไทยไม่ได้ต้องการเอาเปรียบชาวจีน” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าว