หลังจากได้รับแจ้งผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นแฟลตการเคหะ ตึกที่ 75 ชั้น 1 พบบริเวณห้องรับแขกดัดแปลงเป็นร้านเสริมสวย ชื่อกุ้ง ต้นปริง บิวตี้ เห็นนายวิวัฒน์ เก้าเอี้ยน อายุ 42 ปี (สามี) กำลังประคองและช่วยเหลือนางกุมารี เก้าเอี้ยน (ภรรยา) เพื่อเข้าห้องน้ำ สภาพขาด้านซ้ายหักต้องใส่เฝือก และใช้ไม้เท้าพยุงร่างกายในการเดิน แต่เดินด้วยความยากลำบาก
นางกุมารี อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยชื่อ “กุ้ง ต้นปริง บิวตี้” ก่อนเกิดเหตุในเช้าวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ตนพร้อมลูกชายและลูกสาวรวม 3 คน ขับรถจักรยานยนต์ไปซื้ออาหารที่ปากซอยหน้าบ้าน เมื่อขับกลับมาที่พักเวลาประมาณ 09.30 น. ก็ได้นำรถจักรยานยนต์ไปจอดที่บริเวณหลังแฟลตการเคหะซึ่งเป็นที่จอดประจำ จากนั้นได้ถืออาหารที่ซื้อมาพร้อมลูกทั้ง 2 คน เพื่อนำไปรับประทานที่ห้องพัก
เมื่อเดินมาถึงใกล้ปากทางขึ้นห้องพักก็ได้มีสุนัขจำนวน 2 ตัว ตัวแรกสีดำแดง อีกตัวสีแดง วิ่งมาจากด้านหลังพุ่งชนตนจนตัวลอยหงายหลังนอนราบกับพื้น โทรศัพท์ที่พกอยู่บริเวณกระเป๋าด้านหลังแตก อาหารที่ซื้อมาบางส่วนแตกเสียหาย และตนไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้ ลูกชายที่เดินอยู่ใกล้ ๆ ก็เข้าไปถามด้วยความห่วงใยว่า แม่เป็นอะไร ก่อนที่ลูกชายจะวิ่งไปตามสามีที่ห้องพักให้มาลงดูตน ซึ่งเมื่อสามีลงมาดูก็พบว่ากระดูขาทางด้านซ้ายหัก จึงได้แจ้งไปยังศูนย์พยาบาล 1669 ให้มารับตัวเข้ารักษที่โรงพยาบาลถลาง ซึ่งแพทย์ได้ใส่เฝือก และให้นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึงวันที่ 5 ม.ค. จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ต้องเข้ารักษาดูอาการต่อเนื่อง โดยวันที่ 14 ม.ค. ทางรพ.ถลางจะได้ทำใบส่งตัวไปยังรพ.วชิระภูเก็ต เพื่อตรวจสอบอาการเบื้องต้นว่าจะต้องผ่าตัดหรือไม่ โดยขณะนี้ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก
เจ้าของร้านเสริมสวยผู้โชคร้าย กล่าวอีกว่า หลังจากที่สุนับวิ่งชนตนขาหัก ซึ่งตนทราบดีว่าสุนัขดังกล่าวเป็นของใคร โดยได้มีการเจรจากับเจ้าของสุนัข และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกไปพูดคุยแต่ไม่สามารถตกลงกันได้
“เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าไม่สามารถเอาผิดกับเจ้าของหมาได้ และไม่รู้จะดำเนินคดีในข้อหาอะไร ส่วนเจ้าของหมาก็ท้าให้ฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหาย จึงได้ไปยื่นหนังสือของความเป็นธรรมที่ศูนย์ดำรงธรรมภูเก็ต เพื่อเอาผิดเจ้าของหมาแล้ว เจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมบอกว่าสามารถเอาผิดเจ้าของหมาได้ ทั้งคดีอาญาและคดีเพ่ง” เธอกล่าว
“ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาบอกว่าไม่สามารถดำเนินคดีกับเจ้าของหมาได้ หรือเห็นว่าเราเป็นคนจน จึงไม่อยากดำเนินคดีให้ เบื้องต้นได้รับความเดือดร้อนอย่างมากเพราะสามีก็ต้องหยุดงานมาดูแล ร้านเสริมสวยก็ไม่ได้ทำแล้ว รายได้ไม่มี ตอนนี้เงินติดกระเป๋ามีเพียง 80 บาท ลูกก็ต้องไปโรงเรียน 2 คน อยากจะวิงวอนเจ้าของสุนัขให้มาชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น และที่สำคัญข้อบังคับของแฟลตการเคหะแห่งชาติก็ห้ามเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ยิ่งเมื่อเลี้ยงแล้วมาสร้างความเดือดร้อนแบบนี้ยิ่งไม่ถูกต้อง” นางกุมารี กล่าว
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์เพื่อสอบถามเจ้าของสุนัข ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้รับจากผู้เสียหาย เพื่อสอบถามในเรื่องที่เกิดขึ้น และเปิดโอกาสให้ได้แสดงความคิดเห็นและทวงความเป็นธรรมกับสิ่งที่ถูกผู้เสียหายกล่าวหา แต่ทางเจ้าของสุนัขไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ โดยบอกเพียงว่าหากสะดวกจะโทรมาหาผู้สื่อข่าวเอง