ว่าที่ร้อยตรีวิกรม จากที่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 เป็นระลอกที่ 3 ของจังหวัดภูเก็ต ทางจังหวัดได้มีคำสั่งปิดสถานบันเทิงที่มีการจัดปาร์ตี้และมีผู้ติดเชื้อไปแล้วทั้ง 3 แห่งเป็นเวลา 14 วัน และได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ปิดร้านเป็นเวลา 10 วันในระหว่างวันที่ 9-18 เมษายน
“ที่ประชุมวันนี้มีความกังวล เนื่องจากการแพร่กระจายของเชื้อโรคส่วนมากเริ่มมาจากสถานบริการ เราจึงจะปิดสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ และสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการในจังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 9 – 18 เมษายน เข้าใจว่าร้านอื่น ๆ ไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่คาดว่าจะมีคนเดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก” ว่าที่ร้อยตรีวิกรม กล่าว
“สำหรับคนที่จะเดินทางเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตขอให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่นหมอชนะ และในเบื้องต้นยังไม่มีการกักตัว”
- สสจ.ภูเก็ต ขอให้ผู้เข้าร่วมงานปาร์ตี้ 2-3 เมษายน เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19
- ผู้เข้ารับวัคซีน 2 เม.ย. โรงยิม 4 พันที่นั่งสะพานหินช่วงบ่าย อยู่บ้านสังเกตอาการ 7 วัน
ในส่วนของการจัดกิจกรรมช่วงสงกรานต์ ทางจังหวัดได้ออกคำสั่งเพื่อเป็นแนวปฏิบัติเพื่อการป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไปแล้ว
“ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ออกคำสั่งไปแล้ว ว่าเราสามารถจัดกิจกรรมประเภทไหนได้บ้าง หลัก ๆ ก็คือในการกิจกรรมโดยให้ผู้จัดงานถือปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด คือ เว้นระยะห่าง ให้ทุกคนสวมแมสก์ มีการตรวจวัดอุณหภูมิ และสถานที่จัดงานต้องมีพื้นที่ในสัดส่วน 1 คนต่อ 4 ตารางเมตร เพื่อจะไม่ให้เกิดความแออัดมากจนเกินไป”
“กิจกรรมที่จัดได้คือเกี่ยวกับการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ตามประเพณี แต่ก็ต้องเว้นระยะห่าง จำกัดจำนวนคนที่เข้าไปร่วม จัดให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เป็นต้น”
โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการสถานบันเทิงให้ปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ โดยเคร่งครัด และยอมรับว่ามาตราการต่าง ๆ ที่ออกไปนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อหลายคน
“ทุกท่านคงทราบดีว่าขณะนี้เกิดการระบาดเป็นรอบที่ 3 แล้ว ซึ่งในส่วนของจังหวัดภูเก็ตเอง เรามีผู้ติดเชื้อยืนยันแล้ว 10 คน เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องการให้มีการแพร่ระบาดลุกลามเหมือนที่ผ่านมา วันนี้ท่านได้รับผลกระทบเราก็จะพยายามควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในกรอบจำกัดโดยเร็วที่สุด เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปให้ได้”
อย่างไรก็ตาม ว่าที่ร้อยตรีวิกรม กล่าวทิ้งท้ายว่า การจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องดูว่าใครได้รับผลประโยชน์ และผู้ที่เสียผลประโยชน์คือใคร
“ทางรัฐบาลยินดีอยู่แล้วในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของภูเก็ตดีขึ้น แต่ท่านต้องไม่สร้างปัญหาด้วย ไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจแล้วผู้ประกอบการได้ไป 4 – 5 ในขณะที่พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบทั้งจังหวัดก็คงใม่ได้”