จากประสบการณ์ชีวิตของเด็กบ้านนอกที่โตมาในโรงเรียนรัฐบาล มั่นใจว่าหลายคนมีภาพจำในวัยเด็กที่มาพร้อมกับการสะพายกระเป๋านักเรียนอันหนักอึ้งไว้บนหลังมาแล้วทั้งนั้น หนังสือเอย แบบฝึกหัดเอย สมุดอีก
ต้องหอบหิ้วแบบฝึกหัดเล่มหนามาโรงเรียน เพื่อที่จะขีด ๆ เขียน ๆ วันละหน้าสองหน้า
เมื่อก่อนจะมีวิชาเรียนหลักเพียงไม่กี่วิชา เพราะอาจไม่ได้มีการแยกย่อยแตกสาขาออกไปเหมือนในสมัยนี้ (และดูแล้วการเรียนสมัยก่อนจะง่ายกว่าหลักสูตรยุคนี้มากพอสมควร)
แม้กระนั้นเจ้าหนังสือแบบฝึกหัดประมาณ 5 วิชาต่อวัน ก็ยังคงเป็นอะไรที่ช่างหนักหนาเหลือเกินสำหรับเด็กน้อยคนหนึ่ง วันไหนโชคดีผู้ปกครองอาจไปรับไปส่งที่โรงเรียน แต่ส่วนใหญ่ก็จะต้องลากเป๋าใบเขื่องขึ้นรถโดยสาร กอดก่ายหิ้วหอบกันไปกว่าจะถึงที่หมาย ก่อนจะแบกลงบันไดรถโดยสารอีกรอบ นึกแล้วก็แอบยิ้มแห้ง ๆ สงสารตัวเองในวัยเด็กเบา ๆ
ไม่ว่าอาการกระดูกสันหลังคดในข่าวจะเกิดจากสาเหตุใด แต่โปรดอย่าลืมว่าปัญหาน้ำหนักที่มากเกินไปของกระเป๋าหนังสือนักเรียนไทยนั้นมีอยู่จริง และมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก กับการดำรงชีวิตของเด็กนักเรียน เพราะทุกเช้านอกจากจะต้องรีบตื่นขึ้นมาอาบน้ำ แปรงฟัน รับประทานอาหารเช้าให้ทันเวลาแล้ว การเรียนก็ควรที่จะเป็นเรื่องที่สนุกสนาน ในห้องเรียนที่เปิดรับโลกในจินตนาการ และความคิดเห็น เพื่อเป็นการจูงใจให้เด็ก ๆ ต้องการศึกษาเรียนรู้อยู่เสมอ ให้พวกเขามีกำลังใจว่าทุกเช้าของการเดินทางมาโรงเรียน พวกเขาจะได้รับความรู้ใหม่ ๆ ทุกวัน
ส่วนน้ำหนักกระเป๋าที่อาจจะมากเกินไปผู้ใหญ่ที่มีบทบาทในการกำหนดการเรียนการสอน จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นวิธีการเรียนรู้แบบใหม่ได้ไหม ให้เด็กน้อยได้เติบโต สมวัย และเรียนรู้อย่างมีความสุข เพื่อในยามที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะได้มองย้อนกลับมามองชีวิตในวัยเด็ก แล้วพบแต่ความสุข รอยยิ้ม และมิตรภาพที่ดีจากเพื่อน ๆ ในบรรยากาศการเรียนที่น่าสนใจทั้งระบบ