แม้การซื้อขายสินค้ามือสองจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทรนด์แบรนด์เนมมือสองกลับได้รับความนิยมพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าแฟชั่นหรู อิทธิพลจากคนดังในหลากหลายวงการ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็มองหาทางเลือกที่คุ้มค่า ทำให้ตลาดนี้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจาก Bagnifique.brandname ระบุว่า มูลค่าตลาดซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองในไทยปี 2567 แตะระดับ 40,000 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตตามกระแสการเปิดสาขาของแบรนด์หรูในประเทศ ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาสนใจสินค้าแบรนด์เนมมือสองมากขึ้น ไม่เพียงเฉพาะในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงนักช้อปจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา กัมพูชา และลาว ที่เดินทางเข้ามาซื้อสินค้ามือสองในไทยโดยเฉพาะ
จุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดแบรนด์เนมมือสองคือช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนเริ่มมองหาทางเลือกที่ฉลาดในการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากเป็นเจ้าของแบรนด์หรูโดยไม่ต้องจ่ายในราคาป้าย พร้อมๆ กับการให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
อีกหนึ่งมุมที่น่าสนใจคือ สินค้ามือสองมักเป็นช่องทางในการเข้าถึง “Rare Item” หรือ “Limited Edition” ที่หาไม่ได้จากช็อปปกติ การเลือกใช้สินค้ามือสองจึงไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องราคาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความเป็นนักสะสมและคุณค่าทางอารมณ์ของผู้ใช้
ข้อมูลจากสมาคมแบรนด์เนมมือสองแห่งประเทศไทย ระบุว่า มีสมาชิกมากกว่า 300 ราย นอกจากร้านค้าทั่วไปแล้ว ยังมีแหล่งขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองอื่นๆ เช่น บนแพลตฟอร์มออนไลน์
การขาย "สินค้ามือสอง" ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หรือไม่ ?
อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะมีร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมมือสองจำนวนมากทั้งในรูปแบบหน้าร้านและออนไลน์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่องทางออนไลน์บางแห่งยังคงมีความเสี่ยงในการพบเจอกับสินค้าที่ไม่ใช่ของแท้ หรือเป็นสินค้าลอกเลียนแบบ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ผู้บริโภคต้องให้ความระมัดระวังในการเลือกซื้อ
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ระบุว่าการขาย "สินค้ามือสอง"
หากเป็นของเเท้ ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หรือ พ.ร.บ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534
แต่ถ้าเป็นของปลอม มีความผิดตาม พ.ร.บ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หรือ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มีบทลงโทษทางอาญาทั้งจำทั้งปรับ
อ่าน โพสต์ทูเดย์