นายสมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่า การค้นพบซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ถือหลักฐานสำคัญของการกระจายตัวของไฮยีนาลายจุดทางตอนใต้สุดเท่าที่เคยพบมา โดยเป็นการค้นพบโครงกระดูกหินขนาดใหญ่ในตะกอนดินโบราณ จาก อบต.อ่าวลึกเหนือ จังหวัดกระบี่
จากนั้นกรมทรัพยากรธรณี จึงเข้าตรวจสอบ พบมีความเป็นไปได้จะเป็นซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมาตรวจสอบซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าว พบเป็นซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดใหญ่ 4 สายพันธุ์ที่สำคัญ จากการคาดคะเนอายุเบื้องต้นน่าจะอยู่ตั้งแต่ช่วงปลายของสมัยไพลสโตซีนตอนล่างไปจนถึงช่วงต้นของสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย หรือประมาณ 200,000 – 80,000 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นหลักฐานสำคัญของการกระจายตัวของไฮยีนาลายจุดลงมาทางตอนใต้สุดเท่าที่เคยพบมาในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในประเทศไทยพบไฮยีนาลายจุดกระจายตัวอยู่ 6 พื้นที่ ประกอบด้วย ผาบ่อง แม่ฮ่องสอน, บ่อทรายบ้านโคกสูง นครราชสีมา, ถ้ำวิมานคินทร์ จังหวัดชัยภูมิ, ถ้ำเพดาน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสี่พื้นที่ข้างต้นคาดว่ามีอายุประมาณ 200,000 – 160,000 ปี รวมถึง ถ้ำประกายเพชร จังหวัดชัยภูมิ (ไม่ระบุอายุ) และถ้ำยายรวก จังหวัดกระบี่ อายุประมาณ 200,000 – 80,000 ปี ซึ่งปัจจุบันไฮยีนาสายพันธุ์ย่อยนี้สูญพันธุ์ไปจากไทยแล้ว
นายกันตภณ สุระประสิทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาไอโซโทปเสถียรของธาตุคาร์บอน และศึกษาไอโซโทปของออกซิเจนจากเคลือบฟันของซากดึกดำบรรพ์ที่พบในถ้ำยายรวก ผลการวิเคราะห์ไอโซโทปยืนยันว่า พื้นที่กระบี่ในสมัยไพลสโตซีนหรือเมื่อประมาณสองแสนปีก่อน มีสภาพแวดล้อมเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา สลับป่าทึบเป็นหย่อม ๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เหมาะสม”
“สำหรับการย้ายถิ่นหรืออพยพของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมไปยังหมู่เกาะต่าง ๆ แล้วยังมีข้อสันนิษฐานว่าการกระจายตัวของไฮยีนาลงมาใต้สุดที่กระบี่ เป็นผลมาจากความไม่ต่อเนื่องของเส้นทางสะวันนา ที่ถูกคั่นด้วยป่าฝนในบริเวณซุนดาแลน คาดว่า เกิดขึ้นอยู่ทั่วไประหว่างคาบสมุทรไทย-มาเลเซียช่วงยุคน้ำแข็งในสมัยไพลสโตซีน” นายกันตภณ กล่าว
โดยกรมทรัพยากรธรณี จะทำการหารือกับ อบต.อ่าวลึกเหนือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งซากดึกดำบรรพ์ถ้ำยายรวก จังหวัดกระบี่ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป
ที่มา : กรมทรัพยากรธรณี/ กรมประชาสัมพันธ์