โดยชาวบ้านได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผ่านทางนายประกอบ วงศ์มณีรุ่ง รองผู้ว่าฯ เพื่อขอความช่วยเหลือและคุ้มครองสิทธิในการครอบครองที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและตั้งบ้านเรือนมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่มีบุคคลอ้างว่า เป็นเจ้าของสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าว และจะดำเนินการขับไล่ประชาชนที่อยู่อาศัยออกไปจากพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ โดยก่อนหน้านี้ได้เคยมีการฟ้องร้องชาวบ้านที่เข้าไปอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวจำนวน 77 ราย
นายสุรศักดิ์ กล่าวถึงการเดินทางมายื่นหนังสือฯ ว่า เนื่องด้วยชุมชนประชาสามัคคี ซึ่งตั้งอยู่พื้นที่หมู่ที่ 2 ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต มีที่ดินรวมกว่า 300 ไร่ โดยมีชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยประมาณ 300 ครัวเรือน เนื่องจาก เข้าใจว่าเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ (ที่ดินมือเปล่า) เพราะทราบว่าเดิมที่ดินบริเวณดังกล่าว เป็นที่ดินซึ่งมีเอกชนขอสัมปทานเหมืองแร่ และได้สิ้นสุดลงแล้ว จึงได้เข้ามาอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว ประกอบกับเมื่อปี 2548 ทางอำเภอเมืองภูเก็ต ได้มีการปิดประกาศให้ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินมือเปล่าที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ทำให้มีชาวบ้านเข้ามาอาศัยเพิ่มมากขึ้น และอยู่กันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว รวมทั้งได้มีการทำถนน มีโบสถ์และมัสยิด รวมทั้งมีการตั้งเป็นชุมชนประชาสามัคคีขึ้น ในปัจจุบัน
“การเข้ามาสร้างที่อยู่อาศัยและทำกินของชาวบ้านนั้น เป็นการใช้ประโยชน์อย่างเปิดเผย และมีการพัฒนาพื้นที่อย่างโจ่งแจ้ง มีชาวบ้านอาศัยกันอยู่ประมาณ 300 ครัวเรือน บนเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ แต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาทราบข้อมูลว่ามีกลุ่มบุคคลซึ่งอ้างว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินมรดกและได้มีการฟ้องร้องขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ เป็นเหตุให้ชาวบ้านเดือดร้อน และในวันนี้ (7 ธ.ค.) ได้มีส่งหนังแจ้งกลุ่มที่ถูกฟ้องร้องว่า ศาลมีคำสั่งให้สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตและโจทก์ที่อ้างสิทธิ์ครอบครอง และชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้อง ร่วมกันชี้แนวเขตที่ดินเพื่อทำแผ่นที่พิพาทส่งให้ศาล จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือเนื่องจากชาวบ้านกำลังได้รับความเดือดร้อน ทั้งๆ ที่อยู่มานาน เพราะเชื่อว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐ” นายสุรศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตามหลังจากรับหนังสือร้องเรียน นายประกอบ วงศ์มณีรุ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้ส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนการเข้าไปรังวัดที่ดินเพื่อทำแผ่นที่พิพาทตามคำสั่งศาลก็ต้องดำเนินการ ซึ่งเป็นการเข้าไปชี้แนวเขตในส่วนของโจทก์และจำเลยที่มีการฟ้องร้องกัน ส่วนปัญหาเรื่องที่ดินก็คงต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย