ญาติสาวท้องแรกจี้ไล่ออกทีมพยาบาลห้องคลอด อ้างเป็นเหตุทารกเพศหญิงเสียชีวิต

ภูเก็ต – บรรดาญาติของหญิงสาววัย 22 ปี ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กทารกเพศหญิง ที่ได้เสียชีวิตลง ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เรียกร้องให้ทีมทำคลอดออกมารับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของเด็กหญิงแรกเกิดในครั้งนี้ ส่วนหนังสือรับรองการตายจากทางโรงพยาบาลระบุ โรคที่เป็นสาเหตุของการตายเกิดจากภาวะสายสะดือย้อย และภาวะหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลว ซึ่งทางญาติได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุดแล้ว และเตรียมร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรม

ข่าวภูเก็ต

วันพุธ ที่ 20 มีนาคม 2562, เวลา 17:01 น.

"ข่าวภูเก็ต" ได้รับอนุญาตให้ใช้ภาพนี้จากครอบครัวของผู้เสียหายแล้ว

วันนี้ (20 มี.ค. 62) นางสาววรารัตน์ อภิชาติ หรือ เมย์ ซึ่งเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของผู้เสียหาย ได้เล่าให้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ข่าวภูเก็ต ว่า น.ส.พัดชา ปัญญาสิริกุล อายุ 22 ปี ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องได้ไปฝากครรภ์กับทางโรงพยาบาล ซึ่งก็ได้ไปตรวจครรภ์ตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง ผลการตรวจทุกครั้งออกมาปกติ แต่ปรากฏว่าเด็กเสียชีวิตในระหว่างการทำคลอด

“น.ส.พัดชามีนัดไปตรวจครรภ์ที่รพ.ในวันที่ 14 มี.ค. และแพทย์แจ้งว่า มีเกล็ดเลือดต่ำต้องให้คุณแม่คลอดโดยเสียเลือดน้อยที่สุด ซึ่งกรณีผ่าคลอดน้องสาวจะต้องเสียเลือดมาก ซึ่งทางแพทย์แนะนำให้คลอดตามธรรมชาติและให้เลือกวันคลอด น้องสาวจึงเลือกเป็นวันที่ 16 มี.ค. เพื่อให้ได้คลอดโดยเร็วที่สุด” น.ส.วรารัตน์ กล่าว

เมื่อถึงวันนัดทำคลอด น.ส.พัดชา เดินทางไปถึงรพ.ตามนัด และได้รับการเหน็บยาเพื่อเร่งคลอดในเวลาประมาณ 10.00 น. เจ้าตัวนอนรอทั้งวันก็ยังไม่มีอาการปวดท้องคลอดแต่อย่างใด จนกระทั่งเวลาประมาณ 18.00 น. ว่าที่คุณแม่มือใหม่เริ่มรู้สึกปวดท้องคลอดแต่ยังอยู่ในระดับที่ทนไหว และยังสามารถเดินออกมานอกห้องพักเพื่อออกมาหาญาติได้

น.ส.วรารัตน์ อธิบายอีกว่า “เวลาประมาณ 20.00 น. แพทย์มาตรวจและบอกว่าน้ำเริ่มเดินแล้ว หากไม่ไหวหรืออยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว ก็ให้แพทย์ผ่าตัดคลอดได้เลย จากนั้น น้องสาวได้นอนรออยู่ในห้องพัก เวลาประมาณ 21.00 น. แพทย์เข้ามาตรวจอีกครั้ง ปรากฏว่ามีเลือดออก เธอจึงขอให้แพทย์ผ่าตัดทำคลอด แพทย์บอกว่าได้ แต่พยาบาลบอกว่ายังไม่วิกฤต พร้อมทั้งระบุอีกว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า ทางรพ.ไม่มีการใส่สายน้ำเกลือให้น้องสาวตนเลย ทั้งที่ห้องอื่น ๆ ก็ได้รับการใส่สายน้ำเกลือทั้งหมด จนเธอต้องเดินออกมาตามพยาบาล เพราะพยาบาลไม่ได้เดินมาดูเลย น้องสาวบอกพยาบาลว่าปวดท้องไม่ไหวแล้ว แต่พยาบาลบอกว่าก็รอก่อน เพราะหากยังเดินได้แสดงว่ายังไม่วิกฤต”

“จากนั้นในเวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าตัวรู้สึกว่าปวดท้องจนไม่ไหวแล้ว จึงขอร้องให้มีการผ่าคลอด แต่ตอนนั้นแพทย์ไม่อยู่แล้ว ในขณะเดียวกับที่รู้สึกว่ามีอะไรมาคาที่ช่องคลอด จึงเดินออกจากห้องพักเพื่อไปตามพยาบาล เมื่อพยาบาลมาตรวจดู พบว่ามีเลือดติดออกมา ซึ่งเจ้าหน้าที่พยาบาลรายหนึ่งที่มาตรวจดูบอกว่า “สายสะดือโผล่” ก่อนจะโทรตามแพทย์มาดูอาการในเวลาประมาณ 23.00 น. และทำการผ่าคลอดในเวลาประมาณเที่ยงคืน แต่พบว่า ชีพจรเด็กเต้นอ่อนและไม่สามารถปั๊มหัวใจให้กลับมาได้แล้ว” เธอกล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงเช้าของวันที่ 17 มี.ค. แพทย์ที่ทำคลอดเข้ามาพบ น.ส.พัดชา พร้อมกับขอโทษและแสดงความเสียใจ ซึ่งแพทย์ชี้แจงว่าตนเองไม่ทราบเรื่อง หากทราบว่าอาการ น.ส.พัดชา อยู่ในภาวะวิกฤต ตนเองจะมาให้เร็วกว่านี้

ช่วงค่ำของวันเดียวกันสามีของ น.ส.พัดชา ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองภูเก็ต และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เดินทางเข้ามาสอบปากคำแล้วในคืนวันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม น.ส.วรารัตน์ ยืนยันว่า ทางญาติมิได้ติดใจในส่วนของการทำงานของแพทย์ เพียงแต่ติดใจในส่วนของพยาบาล เรื่องการปล่อยปละละเลยไม่ติดต่อแพทย์ให้ทันท่วงที พร้อมกับเรียกร้องให้พยาบาลออกมาขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ในเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโรงพยาบาลก็ไม่ได้นิ่งเฉย เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 19 มี.ค.ได้มีการเรียกญาติรวมถึง น.ส.วรารัตน์ให้เข้าไปพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับยืนยันว่าจะดำเนินการจัดการให้ดีที่สุด และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุสุดวิสัย ทางทีมแพทย์ได้พยายามรักษาอย่างดีที่สุดแล้ว

เบื้องต้น ทางโรงพยาบาลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดและจะมีการเยียวยา แต่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งจะต้องมีการประชุมคณะกรรมการอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริงและพิจารณาเงินเยียวยา โดยจะใช้เวลาอนุมัติประมาณ 1 เดือนต่อจากนี้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มการแพทย์ กล่าวในที่ประชุมว่า “จากรายงานที่ได้รับทราบว่าเด็กถูกกดทับเป็นเวลานานเกินไป ทำให้เสียชีวิต และถือเป็นเหตุสุดวิสัย”

“ขอเรียนว่าทางคุณหมอได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว และทางโรงพยาบาลก็มิได้นิ่งเฉย มีการจัดการในเรื่องนี้แล้ว ทางเราต้องขอโทษที่มีเหตุอันไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเราเชื่อว่าประชาชนควรได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ กรณีทำงานผิดพลาดทางโรงพยาบาลก็จะมีการชดเชยให้ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อพิจารณาของคณะกรรมการ โดยสามารถจ่ายเงินเยียวยาสูงสุดได้ที่ 4 แสนบาท”

น.ส.วรารัตน์ กล่าวอีกว่า ต่อจากนี้ทางญาติจะไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อเรียกร้องให้เลิกจ้างทีมเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ทำคลอดทุกคน “เราต้องการให้เลิกจ้างพยาบาลชุดที่ทำคลอด เพราะไม่อยากให้ไปทำแบบนี้กับใครอีก เพราะชีวิตคนไม่ใช่ผักไม่ใช่ปลาที่คุณจะมาทำแบบนี้ได้”

ท้ายสุดคุณเมย์ได้กล่าวว่า ขณะนี้ทางญาติยังคงฝากศพน้องไว้ที่โรงพยาบาล เพื่อรอให้คุณยายเดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อร่วมพิธีฝังศพของน้อง ผู้ซึ่งทางครอบครัวได้ตั้งชื่อเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า "น้องลลิน"

 

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่