โดยที่สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดภูเก็ต เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวรพจน์ ไม้หอม รองผู้อำนวยการกองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เข้าประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว เพื่อวางแผนเข้าค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 แห่ง ในพื้นที่ภูเก็ต ที่เป็นบริษัทนอมินี ของชาวต่างชาติ ที่มีการกระทำความผิด แต่เปิดกิจการบังหน้าเอาไว้
ทางนายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวในที่ประชุมว่า ในวันนี้เป็นการปฏิบัติการที่ใช้หน่วยร่วมกันในการเข้าปฏิบัติต่อเป้าหมายจำนวน 3 จุด ที่มีหมายค้น ซึ่งสิ่งที่ปฏิบัติในวันนี้ เป็นการดำเนินการในตัวกลุ่มกับคนที่เป็นตัวกลาง ในเรื่องของการไปดำเนินการจดทะเบียนให้กับต่างชาติ จึงต้องใช้ภาพของการทำงานที่กระทบต่อประเทศเป็นหลัก การดำเนินการโดยกฎหมายยุติคนต่างชาติ ว่าจะทำอย่างไรให้ใช้กฎหมายฉบับนี้ ไม่ให้มีผลกระทบต่อการลงทุน แต่ทำให้เป็นในเชิงบวก ถือว่าการบังคับใช้กฎหมาย ต้องการดึงคน ดึงนักลงทุนที่ดีเข้ามาในประเทศ แต่นักลงทุนที่มาแล้ว ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และเกิดความเสียหาย ก็ไม่ควรให้ความสำคัญ และพื้นที่ภูเก็ตเป็นพื้นที่สำคัญ
ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ได้เดินทางลงพื้นที่ไปยังเป้าหมายทันที โดยได้แบ่งกำลังกระจายเข้าตรวจค้นบริษัทเป้าหมายพร้อมกันทั้ง 3 แห่ง แห่งที่ 1 คือ บริษัทภูเก็ต เบสท์ แอคเคานติ้ง จำกัด และแห่งที่ 2 อาคาร สองชั้น 1 คูหา ซึ่งทั้งสองแห่งอยู่ภายใน หมู่บ้านโกลเด้นวิว เดอะสแปช เคาท์ติ้ง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต มีรูปแบบในการทำเอกสารดำเนินความสะดวกให้กับต่างชาติชาวรัสเซีย ปากีสถาน อินเดีย รวมทั้งร้านอาหาร เส้นทางการเงิน 200-300 ล้าน ส่วนแห่งที่ 3 เป็นบ้านพัก อยู่ในหมู่บ้านร็อคการ์เด้น ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต
ผู้อำนวยการกองคดีความมั่นคง กล่าวว่า ในวันนี้ลงพื้นที่ตรวจค้นตามหมายค้น 3 จุด คือสำนักงานของบริษัท ภูเก็ต เบสท์ และฝั่งตรงข้ามอีกจุดหนึ่ง และอีกจุดคือที่บ้าน ที่ในครั้งนี้มีหน่วยภาคีร่วม ทั้งกรมการท่องเที่ยว กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจภูเก็ต สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่มุ่งเน้นในการจัดเก็บข้อมูล เพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการในความผิดเกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการของคนต่างด้าว
สำหรับบริษัทแห่งนี้ ทางดีเอสไอ ได้ตั้งเป็นคดีพิเศษตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มีข้อมูลทางการเงินหลัก ๆ สองกลุ่มคือ กลุ่มยุโรป คือรัสเซีย อีกกลุ่มคือ กลุ่มปากีสถาน และอินเดีย ซึ่งธุรกิจในกลุ่มนี้ทั้งหมดจะมีในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม ส่วนใหญ่ของกลุ่มรัสเซีย ส่วนกลุ่มปากีสถานและอินเดีย จะเน้นในเรื่องของร้านอาหาร ส่วนคนไทยที่เข้าไปมีส่วนร่วมนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในสำนวนแล้ว
“สำหรับจุดที่ 3 ข้อมูลบางตัวอยู่ในโทรศัพท์ที่นี่ไม่มีคอมพิวเตอร์เดี๋ยวเราจะเอาโทรศัพท์ไป เพราะในข้อมูลโทรศัพท์มีอยู่มีการโอนเงิน เดี๋ยวต้องเอาข้อมูลไปดูต้องใช้เวลา แต่ให้ซิมเขาไว้ใช้เพราะเขาต้องไว้ใช้งานติดต่อข้อมูล ซิมจะไม่ค่อยมีอะไรเยอะนำเพียงโทรศัพท์ไปเช็คข้อมูลแล้วค่อยไปรับมอบคืน” นายทวีวัฒน์ กล่าว