ผลการตรวจค้นพบผู้ต้องหาเป็นชาวไทย 2 คน และชาวจีนกว่า 22 คน และชาวเมียนมาอีก 1 คน รวมทั้งสิ้น 25 คน ในจำนวนนี้เป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จำนวน 5 คน และเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นหญิงสัญชาติเมียนมาอีก 1 คน และตรวจยึดทรัพย์สิน เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 8 เครื่อง เครื่องจ่ายไวไฟ 4 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 150 เครื่อง ไอแพด 4 เครื่อง เครื่องนับเงิน 1 เครื่อง บัตรเครดิต 135 ใบ บัตรเอทีเอ็ม 6 ใบ ซิมโทรศัพท์มือถือ 52 ใบ เงินสดสกุลไทย 13,568,570 บาท เงินสดสกุลจีน 3,800 หยวน รถเก๋งยี่ห้อ Mercedez Benz CLA 200 ป้ายแดง ทะเบียน ง 3715 กทม. จำนวน 1 คัน
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า การปฏิบัติการครั้งนี้เกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจากเมืองจี๋หลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถึงขนาดมีผู้เสียหายฆ่าตัวตาย โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นฐานในการดำเนินการหลอกชาวจีน ทางการจีนจึงเดินทางมาประสานความร่วมมือตำรวจไทยจนมีการดำเนินการสืบหาข้อมูลและดำเนินการจับกุมดังกล่าว
สำหรับการเข้าตรวจสอบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ป่าตอง จ.ภูเก็ต ครั้งนี้ถือว่าเป็นศูนย์ปฏิบัติการที่มีขนาดใหญ่ เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศและเป็นเครือข่าย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อปราบปรามต่อไป
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจของจีนระบุว่า ความเสียหายในประเทศจีนประมาณ 150 ล้านบาท ทั้งนี้จะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในความผิดฐาน ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นไปทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย การหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมไปถึงการฉ้อโกงประชาชนเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ถึงแม้ว่าไม่มีคนไทยเป็นผู้เสียหาย และถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่มาก่อเหตุในประเทศไทย หรือว่าใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่อเหตุ ทั้งในกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และจังหวัดภูเก็ต ผู้ต้องหาต้องรับโทษในประเทศไทยก่อน จากนั้นจึงจะส่งตัวไปรับโทษต่อเนื่องที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับปฏิบัติการดังกล่าวนอกจากในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในวันนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ยังเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาในพื้นที่พัทยาจำนวน 2 จุดและพื้นที่กรุงเทพมหานครจำนวน 9 จุดอีกด้วย