พระธรรมกิตติเมธี กล่าวว่า การทุจริตนั้นจำต้องมีหลายฝ่ายเกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) รวมทั้งพระสงฆ์เองอาจไม่เคร่งครัดกับการจ่ายเงิน หรือดูแลเงิน โดยเฉพาะกับทั้ง 3 วัด ที่มีกิจการการเผยแพร่ศาสนาและสอนพระปริยัติธรรมจำนวนมาก ซึ่งอาจรับเงินมาแล้วไปอุดหนุนวัดอื่น ๆ ได้
พร้อมกับอธิบายถึงช่องทางโอกาสการทุจริตว่า ปกติงบอุดหนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) จะแบ่งอุดหนุนให้แต่ละวัด 3 ทาง คือ ใช้ในกิจการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ใช้ในการบูรณะซ่อมแซม และด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งถ้าพระสงฆ์ที่ดูแลเงิน นำเงินจากช่องทางหนึ่งไปใช้อีกช่องทางหนึ่ง แต่เป็นการใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อกิจการของวัด เช่น นำงบบูรณะซ่อมแซมไปใช้เป็นงบศึกษาพระปริยัติธรรม แล้วมีการนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้คืนภายหลัง ก็ถือว่ายังไม่ผิด แต่หากไม่นำเงินมาคืนก็จะมีความผิด แต่ความผิดไม่ถึงขั้นต้องปาราชิก
แต่หากนำเงินอุดหนุนไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ส่วนตัว เช่น ซื้อรถ ก็ถือว่ามีความผิดต้องปาราชิก ทั้งนี้ยอมรับว่าช่องทางเช่นนี้อาจเป็นช่องทางให้ทุจริตได้ แต่ก็ควรดูที่เจตนาการใช้เงินเป็นหลัก โดยเชื่อว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่คงไม่มีความมุ่งมั่นในเรื่องดังกล่าว
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีพบทุจริตเงินทอนวัดว่าทราบว่าทางปปป. ส่งสำนวนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)แล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งทางบก.ปปป.ได้รายงาน พบการทุจริตตามที่ บก.ปปป.สอบซึ่งอยู่ในสำนวน
สำหรับข่าวที่ว่าจะมีม็อบพระเนื่องจากมีการกล่าวหาพระชั้นผู้ใหญ่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ม็อบพระก็ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอยู่แล้ว ตนไม่เห็นมีกฎหมายห้ามจับพระ เพราะฉะนั้นก็ไม่กังวลในการทำคดี