สืบเนื่องจากกรณีโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่คลิปวีดิโอความยาวประมาณ 03.51 นาที ของทหาร 3 นายที่กำลังพูดคุยกับผู้บริหารโรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต และมีข้อความระบุว่า ทหารใช้อำนาจ ไปรีดไถและปรักปรำผู้บริหารโรงแรม จนกลายเป็นกระแสดังในโลกโซเชี่ยล ก่อนที่พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 จะออกมาชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากที่เจ้าหน้าที่ทหารบก.ควบคุม พล.ร.5 ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพนักงานโรงแรมว่า ถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรมและถูกผู้บริหารโรงแรมใช้อิทธิพล ข่มขู่ โดยใช้ตำรวจบีบให้ออกจากงาน และผู้ร้องเรียนได้ทวงถามความคืบหน้าของการดำเนินการ เพราะเกรงความไม่ปลอดภัย ก่อนที่ พ.ท.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม รอง ผบ.ร.25 พัน.2 และ ร.ต.วัฒนชัย คล่องประดิษฐ์ หัวหน้าชุดปฏิบัติการรักษาความสงบเรียบร้อย กรมทหารราบที่ 25( ชป.รส.ร.25) ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เพื่อ แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่มีการเผยแพร่คลิปที่บิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.วานนี้( 7 เม.ย.61) ที่สภ.ป่าตอง อ.กะทู้จ .ภูเก็ต นายวิศิษฐ์ เอี่ยมวิโรจน์ฤทธิ์ กรรมการบริษัท ป่าตองพารากอน จำกัด พร้อมด้วยนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความชื่อดัง และผู้เกี่ยวข้อง เข้าพบ พ.ต.อ.อโณทัย จินดามณี ผกก.สภ.ป่าตอง และ พ.ต.ท.วัชรพงศ์ พรายพรรณ สารวัตร(สอบสวน) สภ.ป่าตองเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ร้องและเจ้าหน้าที่ทหาร
ซึ่งนายอนันต์ชัยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในหลายประเด็นโดยระบุว่า หลังมีการเผยแพร่คลิป กล่าวหาว่าทหารรีดไถลงในโซเชียลมีเดียทำให้ประชาชนสนใจ ต่อมา พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 และ พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกฯ กอ.รมน.ภาค 4 ได้แถลงต่อสื่อมวลชน นั้น ตนเองได้ฟังบางช่วงบางตอนก็รู้สึกไม่ดี ทำให้รู้สึกว่านายวิศิษฐ์ ข่มเหงรังแกลูกน้อง เช่นที่แม่ทัพภาค 4 ระบุว่า “เราเป็นทหารของพระราชา เราไม่ยอมให้ใคร มาดูหมิ่นกล่าวหา ใส่ร้าย ให้เสียชื่อเสียกองทัพ” การแถลงดังกล่าวซึ่งเหมาะสมหรือไม่ เหมือนระบุว่า กำลังทำร้ายทหารของพระราชา แค่คลิปเดียว ดึงกองทัพเข้ามาร่วมด้วย การที่ออกมาวันนี้ไม่ใช่มาทะเลาะกับกองทัพแต่มา ต่อสู้กับทหารบางกลุ่มที่ไม่ดี หรือทำไม่ถูกต้อง ต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย
ส่วนกรณีการร้องเรียนจนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับผลกระทบนั้น ตำรวจบางนายไม่รู้เรื่องเลยแต่ถูกย้ายไปช่วยราชการที่ภาค 8 ตนเองอาสาจะมาช่วย ฝากถึงตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมตนเองยินดีช่วยเหลือ ขอให้ติดต่อมา สำหรับคลิปแถลงข่าวที่ออกมาและพาดพิงตัวนายวิศิษฐ์นั้นตนเองกำลังตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดกม.หมิ่นประมาทตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ หากมีก็จะดำเนินการตามกฏหมายในภายหลัง
ต่อมาในเรื่องภายในโรงแรมป่าตองพารากอนนั้น มีปัญหาขัดแย้งของหุ้นส่วนทางธุรกิจ นายวิศิษฐ์ได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งอาญาและคดีแพ่ง ไว้ที่ศาลจ.ภูเก็ต และศาลจ.สมุทรปราการ โดยในส่วนคดีอาญานั้น ศาลได้มีคำพิพากษาจำคุกหุ้นส่วนไปแล้ว และอยู่ระหว่างฏีกา ส่วนคดีแพ่งนั้นศาลได้พิพากษา ให้หุ้นส่วนชดใช้เงินคืนบวกดอกเบี้ยมูลค่า 500 ล้านบาท และอยู่ระหว่างศาลฏีกาตัดสิน ซึ่งตนเองจะไม่ขอพูดถึง แต่ให้ทราบถึงที่มาว่าจาความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลให้ การบริหารงานภายในมีปัญหา กระทั่งเมื่อประมาณเดือน ก.พ.2560 ที่ผ่านมา ทางหุ้นส่วนฯที่มีปัญหา ได้ติดต่อนายทหาร 3 นาย ของพล.ร.5 ให้มาเจรจากับนายวิศิษฐ์และยังส่งนักเลงมา 6-7 คน แต่นายวิศิษฐ์ได้ให้ผู้ใหญ่ช่วยเจรจา จนปัญหาจบ อีกฝ่ายบอกจะไม่ยุ่ง ให้เป็นขั้นตอนของศาลไป และมาเกิดปัญหาอีกว่าพนักงานซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนและเป็นต้นตอของปัญหานั้นเป็นคนของหุ้นส่วนอดีตผู้บริหาร
ซึ่งนายอ.ได้ขาดงานเป็นจำนวน 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 25-31 ธันวาคม กลับมาทำงานในวันที่ 1 มกราคมโดยอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่กักตัวไว้ที่ด่านปาดังเบซาฯ อ.สะเดา จ.สงขลา เนื่องจากต้องสงสัยเป็นโรค ก่อนถูกสงตัวไปที่ม.อ.หาดใหญ่ ซึ่งนายวิศิษฐ์ ได้ให้ นาย อ.ไปเอาหลักฐานมา แต่ปรากฏว่าเอามาไม่ได้ จึงเซ็นคำสั่งเลิกจ้างในวันที่ 5 มกราคม 2561 โดยอาศัยอำนาจ ตาม พรบ.แรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(5) กรณีขาดงานเกิน 3 วันโดยไม่แจ้งสามารถไล่ออกโดยไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย และได้ทำหนังสือถึงสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเพื่อสอบถามตามขั้นตอน ซึ่งปรากฏว่ามีอำนาจทำได้ โดยถ้าพนักงานป่วยจริงสามารถฟ้องร้องได้ตามกฏหมาย โดยสวัสดิการคุ้มครองแรงงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า สามารถห้ามลูกจ้างที่กระทำผิดเข้าไปในสถานประกอบการได้และหากยังฝ่าฝืนก็สามารถดำเนินคดีตามกฎหมาย
แต่หลังจากที่ได้ไล่นาย อ. ออก นาย อ.ได้เข้าหาหุ้นส่วนฯ อีกฝ่ายเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งอีกฝ่ายไม่ให้ออก และยังมาทำงานอยู่ถึงทุกวันนี้ ทางด้านนายวิศิษฐ์จึงไปแจ้งความดำเนินคดี ฐานบุกรุกกับนาย อ.ไว้กับ พ.ต.ท.จงเสริม ปรีชา สารวัตร(สอบสวน)สภ.ป่าตอง ซึ่งถูกย้ายไปช่วยราชการที่ตำรวจภูธรภาค 8 ก่อนที่นาย อ. จะไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต และ ศูนย์ดำรงธรรมฯได้ส่งเรื่องต่อให้เจ้าหน้าที่ทหาร บก.ควบคุมพล ร.5
ในวันที่ 27 มีนาคม ทหาร 9 นาย ได้เข้าตรวจสอบที่โรงแรมตามคลิป โดยไม่มีการแจ้งนัดล่วงหน้า ประกอบด้วย พ.ท.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม, ร.ต.วัฒนชัย คล่องประดิษฐ์, จ.ส.ท.เลิศชาย คงแก้ว, จ.ส.ต.ทวีศักดิ์ เชื้อบ้านเกาะ, ส.อ.ชนะชัย ทองส่งโสม, ส.อ.วัชระพงศ์ ทองพราว ,ส.อ.ทรงจิต สมภักดี, ส.อ.อิทธิพล หนูฤทธิ์, ส.ท.เจษฏา ทองสว่าง มาควบคุมตัว โดยมีนาย อ. ให้ความร่วมมือชี้นำทั้งหมด ซึ่งมีภาพวงจรปิดทั้งหมด ทั้งตอนประชุม และยังเข้าไปในห้องทำงาน สถานที่ต้องห้ามส่วนบุคคล ซึ่งนาย อ.ไม่มีสิทธิ์เข้าไปเพราะมีการติดป้ายห้ามนาย อ.เข้าไป
ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปควบคุมตัวนายวิศิษฐ์ ได้อ้าง มาตรา 44 คำสั่งที่ 13/2559 ซึ่งคำสั่งดังกล่าว นั้น ในข้อ 2 ระบุว่าให้เจ้าพนักงานออกตชคำสั่งเรียกบุคคลมาพบเจ้าพนักงานฯ แต่ถ้าเป็นความผิดซึ่งหน้า สามารถควบคุมตัวได้ทันที ตนเองจึงตั้งคำถามว่า นายวิศิษฐ์ อยู่ในโรงแรม ฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารไม่มีการแจ้งหรือเรียกตัว และเข้ามาควบคุมตัวตามคำสั่งข้อ 2 ซึ่งไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า กระทำการได้หรือไม่? เพราะยังไม่ได้มีการออกคำสั่งแม้แต่ฉบับเดียว มีการเข้ามาโดยมีการพกพาอาวุธ ซึ่งขณะนั้นมีแขกหรือ นทท.จำนวนมาก ซึ่งการใช้อำนาจตามคำสั่งที่ 13 นั้น สามารถควบคุมตัวได้ 7 วัน หากวันนั้นนายวิศิษฐ์ ยอมให้ควบคุมตัวจะเกิดอะไรขึ้น แต่นายวิศิษฐ์ไม่ยอมจึงเกิดการโต้เถียง
ทั้งนี้ ตามมาตรา 9 ระบุไว้ว่า เจ้าหน้าที่จะต้องกระทำการโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และสมะควรแก่เหตุ การที่ จนท.9 นาย พกอาวุธเข้ามาหาคน 1 คน อย่างนี้เข้าเงื่อนไขมาตรา 9 หรือไม่ กรณีวิดิโอคลิปที่มีการเผยแพร่ ซึ่งระบุข้อความว่าทหารรีดไถผู้ประกอบการป่าตอง นั้น ยืนยันไม่ใช่การกระทำของนายวิศิษฐ์ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ใครที่กล่าวหาว่าเป็นผู้ปล่อยคลิปทำลายชื่อเสียง จะดำเนินคดีทุกคนไม่ไว้หน้า
นาย อนันต์ชัย กล่าวอีกว่า หลังจากที่โดนคำสั่งดังกล่าว ทำให้นายวิศิษฐ์ได้รับความเสียหาย และหากลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างทั่วในภูเก็ต และทั่วประเทศนำวิธีการดังกล่าวไปใช้ก็จะทำให้เกิดความโกลาหล
อย่างไรก็ตาม หลังจากเป็นข่าวปรากฏว่า พ.ท.สุรศักดิ์ ได้มีการทำหนังสือลงวันที่ 5 เม.ย. เพื่อเชิญให้นายวิศิษฐ์ไปให้ข้อมูลที่ โรงเรียน เชิงทะเล ในวันที่ 11 เม.ย.นี้ ตนเองและนายวิศิษฐ์จะไม่ไป แต่จะไปพบคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อร้องเรียนปัญหาแทน โดยจะขอให้ข้อมูล กับเจ้าหน้าที่ทหารชุดอื่น เพราะเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม หากจะให้ข้อมูลที่ภูเก็ตก็ขอให้มีการย้ายเจ้าหน้าที่ทหารชุดนี้ออกไปก่อน เพื่อความเป็นธรรม และเหตุผลว่าอาจไม่ปลอดภัย
นอกจากนี้ ทางตนได้พบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับนาย อ.พนักงาน ผู้ร้องเรียนว่า ที่อ้างว่าโดนเจ้าหน้าที่กักตัวไว้หลังต้องสงสัยเป็นไข้หวัดนก ที่ด่านปาดังเบซาร์ จ. สงขลา จนขาดงานนั้น ความจริงนาย อ.ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมในคดียาเสพติดฐาน “มีไว้เพื่อจำหน่าย” เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2560 โดยถูกควบคุมตัวไว้ที่ชุดปราบปรามยาเสพติด 2 วัน ก่อนส่งตัดดำเนินคดีที่สภ.เมืองภูเก็ต เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม จากนั้นในวันที่ 26-29 ธันวาคม เจ้าหน้าทีได้ส่งตัวเข้า เรือนจำภูเก็ต ซึ่งมีหลักฐานทั้งหมด อยากจะถามว่ากรณีของนาย อ. ไม่ได้ลางานถูกต้อง และยังถูกจับกุมในคดียาเสพติดนั้น เมื่อให้ออกจากงานเป็นการข่มเหงรังแกหรือไม่ ทำไมศูนย์ดำรงธรรมและเจ้าหน้าที่ทหารไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ยืนยันทำตามกฏหมายไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล การที่นายอ. ให้การเท็จปกปิดความจริง เราก็มีสิทธิ์ให้ออกจากงานตามกฏหมาย
ส่วนกรณี ตำรวจสองนายที่เข้าไปที่โรงแรม ในวันเกิดเหตุนั้น นายวิศิษฐ์ไม่ได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายแต่อย่างใด แต่เนื่องจากที่โรงแรมมีการติดตั้งตู้แดง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลความเรียบร้อยตามปกติ และตำรวจทั้งสองนายดังกล่าวถึงแม้อยู่ระหว่างออกเวร นอกเวลาปฏิบัติหน้าที่ แต่มีพนักงานที่รู้จักโทรประสานโทรตามให้ไปกินกาแฟเท่านั้น กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปพอดี ทำให้ไดรับผลกระทบถูกย้ายโดยไม่เป็นธรรม ขอให้ผู้บังคับบัญชาเอาทั้งสองกลับมา เพราะไม่ได้กระทำความผิดติดตามผู้มีอิทธิพลแต่อย่างใด ซึ่งหากทั้ง 2 นายเดือดร้อนให้ติดต่อมาจะช่วยเหลือ
ซึ่งนาย อนันต์ชัย สรุปตอนท้าย ว่า ต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากขบวนการหนึ่งซึ่งมีทหารบางนายมาเกี่ยวข้อง ซึ่งข้อมูลนั้นจะไปปรากฏที่ คสช.ในวันที่ 11 เมษายนนี้แน่นอน ซึ่งตนเองจะพานายวิศิษฐ์ ไปร้องทุกข์และให้ข้อมูล และไม่ขอให้ข้อมูลกับ พ.ท.สุรศักดิ์ ซึ่งได้ส่งหนังสือเรียกพบให้ข้อมูลในวันดังกล่าว ถ้าจะให้พบก็ต้องย้ายเจ้าหน้าที่ทหารชุดนี้ออกไปก่อนเพื่อความเป็นธรรม และเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แต่ขอให้ได้รับความเป็นธรรมด้วย
สำหรับที่เดินทางมาสภ.ป่าตองในวันนี้นั้นจะมาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารและนาย อ.ในฐาน “ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังฯ” จากนั้นจะไปแจ้งความที่สภ.เมืองภูเก็ต และสภ.เชิงทะเล อ.ถลาง กรณีที่นาย อ.ร้องต่อศูนย์ดำรงธรรมและเจ้าหน้าที่ทหาร ในฐาน “แจ้งความเท็จส่งผลให้คนอื่น ได้รับโทษทางอาญา” ตาม มาตรา 137 มาตรา 172 มาตรา 173 และ มาตรา 174( 2) และในหส่วนของการให้สัมภาษณ์ต่างๆนั้นจะกลับไปตรวจสอบเพิ่มเติมอีกครั้งว่าทำให้เสียหายหรือไม่ ก่อนจะดำเนิคดีตามกฏหมายทั้งหมด รวมทั้งจะดำเนินคดีทางแพ่งเรียกค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท นายอนันต์ชัย กล่าว
ด้านนาย วิศิษฐ์กล่าว สั้น ๆ ว่า อยากขอความเป็นธรรมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องยืนยัน 2 รายที่ถูกระบุไม่ได้เป็นคนติดตาม แต่ปฏิบัติหน้าที่ตรวจตามตู้แดงตามปกติ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้รู้จักตร.ทั้งสอง ฝากถึงผู้บังคับบัญชาให้เป็นบทเรียน การย้ายคนไม่ได้เกี่ยวข้องทำให้ครอบครัวเดือดร้อน ยืนยันไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล ตนเองไม่มีศัตรูที่ไหน ไม่เคยข่มเหงใคร ซึ่งคนภูเก็ตส่วนใหญ่ทราบดี