สำหรับ กรณีที่มีข้อความโฆษณาขายที่ดินกว่า 40 ไร่ ออนไลน์บนทำเลทองของฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ต ในราคาไร่ละกว่า 90 ล้านบาท รวมมูลค่า 3.66 พันล้านบาทนั้น (อ่านเพิ่มเติม คลิก) นายนรภัทร ยืนยันว่าไม่สามารถครอบครองหรือจำหน่ายที่ดินแปลงนั้นได้อย่างแน่นอน
“ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่หลวง ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาให้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ของจังหวัดภูเก็ตแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงบังคับใช้กฎหมาย แต่ขอยืนยันว่าที่ดินแปลงดังกล่าวไม่สามารถซื้อขายได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ทุกกระบวนการต้องเป็นไปตามกฎหมาย แต่ขอให้มั่นใจได้ว่าจังหวัดจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อนำเอาที่ดินแปลงดังกล่าวกลับมา” นายนรภัทร กล่าว
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา จังหวัดภูเก็ตได้ตั้งคณะทำงาน บริหารจัดการที่ดินจำนวน 178 ไร่ (ซึ่งรวมถึงพื้นที่ที่มีการประกาศขายออนไลน์) หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาให้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ของจังหวัดภูเก็ต เน้นหลักการให้ประชาชนได้ใช้ร่วมกัน เพื่อเป็นสวนสาธารณะสถานที่พักผ่อนท่องเที่ยวของประชาชนอย่างยั่งยืน (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
จากนั้น อธิบดี DSI ได้เดินทางลงพื้นที่หาดเลพัง ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เพื่อเรียกคืนที่สาธารณะให้กับแผ่นดิน ภายหลังจากคณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติให้การบุกรุกที่ดินบริเวณหาดลายันและหาดเลพังเป็นคดีพิเศษ และต่อมาพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้รับกรณีการออกโฉนดที่ดิน 2 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 13 ไร่ เป็นคดีพิเศษจำนวนทั้งสิ้น 2 คดี (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
ต่อมา เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล (อบต.เชิงทะเล) พร้อมด้วยนายยงยุทธ กาญจนานุรักษ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง, ทหาร, ตำรวจ, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง นำกำลังเจ้าหน้าที่ทำการรังวัดแนวเขต เนื้อที่ 178 ไร่ มูลค่าร่วม 14,000 ล้านบาท
ซึ่งก่อนที่จะมีการรังวัดได้มีผู้อ้างตนครอบครองที่ดินแปลงของร้านโทนี่ฯ พร้อมทนายความยื่นหนังสือคัดค้านการรังวัดที่ดินดังกล่าว โดยเนื้อความในหนังสือคัดค้าน สรุปได้ว่า ที่ดินแปลงนี้มีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 7 และ 17 เป็นการแสดงสิทธิครอบครองมาแต่เดิมไม่ใช่ที่สาธารณะ
นายนรภัทรกล่าวว่า “จังหวัดภูเก็ตได้ทำการลงรังวัดที่ดินเนื้อที่ 178 ไร่ ตามคำพิพากษาของศาลฯ แล้ว เพื่อทำแผนที่ประกอบการทำพื้นที่สงวนหวงห้ามและเพื่อประกอบการพิจารณาของผู้ว่าฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายและให้ความเห็นชอบ เพื่อส่งเรื่องให้คณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติอนุมัติหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) ต่อไป”
“อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดจะได้เรียกเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ตหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อกำหนดแนวทางการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่อ้างสิทธิ์ครอบครองพื้นที่อย่างรัดกุม รวมถึงการรื้ออาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากพื้นที่ เพื่อการพัฒนาและให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป” นายนรภัทร กล่าว
