เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 60 ที่ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งวันนี้เป็นการนัดอ่านคำพิพากษาครั้งที่ 2 หลังจากที่ในครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 60 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มาฟังคำพิพากษาตามนัดและหลบหนีคดีไปและถูกศาลออกหมายจับเพื่อให้มาฟังคำพิพากษาวันที่ 27 ก.ย.
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯได้มีมติเอกฉันท์พิพากษาว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ มีโทษจำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และมีคำสั่งออกหมายบังคับมารับโทษด้วย ส่วนสาระสำคัญของคำพิพากษามีดังนี้
ประเด็นเรื่องการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยกรมการค้าต่างประเทศขายข้าวในสต็อกของรัฐให้บริษัทกว่างตงฯ และบริษัทห่ายหนานฯ ของสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ศาลฎีกาฯ มีคำวินิจฉัยว่าเป็นการขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการแอบอ้างสัญญาแบบรัฐต่อเพื่อนำข้าวมาเวียนขายให้แก่ผู้ค้าข้าวภายในประเทศ อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต ในเรื่องนี้สส.ได้นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจให้จำเลย (น.ส.ยิ่งลักษณ์) ทราบรายละเอียดและวิธีการขายที่ไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติของการขายแบบรัฐต่อรัฐ
ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจแม้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องการขายข้าวแบบนรัฐต่อรัฐ แต่องค์ประกอบของคณะกรรมการล้วนแต่เป็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การบังคับบัญชาของนายบุญทรง และทำการตรวจสอบไม่ตรงตามประเด็นที่อภิปรายแสดงให้เห็นว่าไม่ตั้งใจตรวจสอบอย่างจริงจัง และจำเลย (น.ส.ยิ่งลักษณ์) เพิ่งปรับนายบุญทรงออกจากตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ในวันที่ 30 มิ.ย. 2556
ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลย (น.ส.ยิ่งลักษณ์) ทราบว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวตามสัญญาให้รัฐวิสาหกิจจีนต่อไปอีก อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น การกระทำของจำเลย (น.ส.ยิ่งลักษณ์) จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ลงโทษจำคุก 5 ปี
