กระทั่งในปีต่อมาเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หลังจากนั้นจึงเข้ารับเคมีบำบัดและปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ในปี 2016 รวมถึงก็ยังคงรับยาต้านไวรัสต่ออีกเป็นเวลา 16 เดือน
ผลปรากฏว่าหลังจากการเข้ารับการตรวจร่างกายกลับไม่พบการติดเชื้อไวรัส HIV ที่จะพัฒนาเป็นโรคเอดส์อีกต่อไป ด้านทีมแพทย์ที่รักษาได้ทำการทดสอบว่าเขาปลอดเชื้อ HIV จริงหรือไม่ด้วยการงดรับยาต้านไวรัสเป็นเวลา 18 เดือน ก็พบว่าตรวจไม่พบเชื้อไวรัส HIV ในร่างกายของคนไข้รายดังกล่าวอีก
กรณีนับเป็นรายที่ 2 ของโลกที่อยู่ในภาวะ "โรคสงบ" หลังจากที่มีการพบผู้ติดเชื้อ HIV ที่รักษาหายได้ด้วยวิธีปลูกถ่ายสเต็มเซลล์รายแรกของโลกเมื่อปี 2008 โดยในเคสนั้นมีการเปิดเผยชื่อผู้ป่วยที่รักษาหายว่าคือนาย Timothy Ray Brown หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "The Berlin Patient"
ด้านนายแพทย์ Ravindra Gupta ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และเป็นหนึ่งในทีมนักชีววิทยาด้านเอชไอวี ที่ทำการรักษาชายผู้ติดเชื้อรายดังกล่าวอธิบายว่า "นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ผู้ป่วยรายนี้จะมีชีวิตรอด ความโชคดีของผู้ป่วยรายนี้คือการได้รับสเต็มเซลล์ของผู้บริจาคที่พันธุกรรมที่รู้จักกันในชื่อ CCR5 delta 32 ซึ่งยอมรับการต่อต้านเชื้อเอชไอวีรวมถึงสามารถเข้ากับผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี แต่การกลายพันธุ์นี้ถือว่าพบได้ยากมาก"
ทั้งนี้ การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ด้วยวิธีข้างต้นนั้นค่อนข้างอันตราย มีความเสี่ยงสูง ราคาแพง และไม่ใช่ว่าจะได้ผลกับผู้ป่วยทุกราย ความสำเร็จครั้งนี้ นับว่าเป็นความหวังและความก้าวหน้าครั้งสำคัญของผู้ติดเชื้อทั่วโลกในการรักษาให้หายขาดต่อไป
(อ่านข่าวเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ คลิก)