เสม็ดนางชีในวันฝนพรำ ขับรถสบาย ๆ ชิล ๆ ในวันสุดสัปดาห์ พักสมอง เปลี่ยนบรรยากาศ

“จุดชมวิวเสม็ดนางชี” ได้กลายมาเป็นจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจว่าจะขับรถจากภูเก็ตในวันสุดสัปดาห์ ออกไปชมความงดงามของจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดพังงา ด้วยฝีมือการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ ก่อเกิดวิวภูเขาหินปูนในอ่าวพังงาและเกาะแก่งต่าง ๆ เรียงรายอย่างสวยงาม

จุฑารัตน์ เปลรินทร์

วันเสาร์ ที่ 26 มีนาคม 2565, เวลา 16:00 น.

แต่ด้วยความที่คิดว่าตัวเองพักอาศัยในภูเก็ต “เสม็ดนางชีอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง จะไปเมื่อไหร่ก็ได้” เลยทำให้ไม่เคยได้สัมผัสกับความงดงามทางธรรมชาติ ที่ผู้คนจำนวนมากเดินทางระยะไกล และใช้เวลายาวนานกว่าเราเอามาก ๆ เพื่อมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันน่าประทับใจ ณ จุดชมวิวแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเช้าตรู่ ที่นักท่องเที่ยวจะได้ร่วมเป็นพยานแห่งแสงอาทิตย์แรกของวัน ต่างคนต่างก็เก็บเกี่ยวภาพถ่ายขณะดวงอาทิตย์เริ่มเปล่งแสงทอพาดผ่านทั่วท้องฟ้า และโพสต์ภาพความประทับใจลงบนโซเชียล เพื่อเก็บเป็นความทรงจำอันงดงามของตนเองและเผื่อแผ่ไปยังเพื่อน ๆ

ด้วยภาพถ่ายประอาทิตย์ทอแสงยามเช้าที่สวยงามมาก ๆ ที่เห็นได้จากอินเตอร์เน็ตและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในบัญชีโซเชียลของเพื่อน ๆ มันก็ทำให้เราลงความเห็นว่า โอเคเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่เสม็ดนางชี

หลังจากตัดสินใจว่าจะขับรถชั่วโมงกว่า ๆ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น การวางแผนการเดินทางจึงเริ่มขึ้น หยิบมือถือค้นหาข้อมูลว่าพรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์จะขึ้นกี่โมง ต้องออกจากภูเก็ตกี่โมง เงื่อนไขและขั้นตอนของการขึ้นไปบนจุดชมวิวมีว่าอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าข้อมูลต่าง ๆ นั้น หาได้ไม่ยากเลยจากโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งต้องขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากทั้งเว็บไซต์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงา และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพังงา
การเดินทาง

จุดชมวิวเสม็ดนางชี ตั้งอยู่ที่ บ้านหินร่ม ตำบลคลองเคียน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ขับออกจากภูเก็ตใช้เส้นทางโคกลอย-พังงา หลังจากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางบ้านท่าอยู่-คลองเคียน ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร จะพบกับทางขึ้นจุดชมวิว และหลังจากจากรถเรียบร้อย ก็ขึ้นไปยังจุดชมวิวอีกประมาณ 500-700 เมตร ซึ่งจะมีรถสองแถวของจุดชมวิวขับพานักท่องเที่ยวขึ้นไป โดยจะเก็บค่าบริการขึ้น-ลง และบำรุงสถานที่ในราคา 90 บาท

ทั้งนี้ จุดชมวิวเสม็ดนางชีไม่อนุญาตให้ขับรถขึ้นไปเอง ซึ่งด้วยความชันของเส้นทางสู่จุดชมวิว หากไม่มีประสบการณ์ในการขับรถขึ้นลงเขาแห่งนั้นและยานพาหนะที่เหมาะสมแล้ว น่าเชื่อว่าอุบัติเหตุอาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่อยากนั่งรถที่มีไว้บริการ นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นเองได้ ซึ่งต้องเสียค่าบำรุงสถานที่จำนวน 30 บาท

ผิดแผน

หลังจากวางแผนการเดินทางเสร็จสรรพ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ลืมที่จะตรวจสอบพยากรณ์อากาศสำหรับเช้าวันพรุ่งนี้ (วันออกเดินทาง) แต่ฟ้าฝนกลับไม่เป็นใจ เพราะคาดว่าในวันรุ่งขึ้นจะมีฝนฟ้าคะนอง “เอาไงดี?” แต่ในเมื่อตั้งใจแล้วกองทัพก็ต้องเดินหน้าต่อไป

ค่ำคืนผ่านไปพระจันทร์ลาลับ เวลาที่ลืมตาตื่นคือ “พระอาทิตย์ขึ้นมาหลายชั่วโมงแล้วแม่” แต่เมื่อแหวกผ้าม่านออกไปดูด้านนอกก็เห็นได้ว่าท้องฟ้ามืดมัวด้วยเมฆสีเทา ๆ “อ่ะ! อย่างน้อยถึงแม้จะตื่นเช้าก็คงไม่มีบุญได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรอก” (แอบปลอบใจตัวเอง) จากนั้นก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวเช้า พร้อมออกเดินทาง!

ไม่ผิดหวัง

อิ่มท้องแล้วออกเดินทางได้! การขับรถจากภูเก็ตสู่พังงาในครั้งนั้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในทริปที่ดีและมีความสุขที่สุด เนื่องจากอากาศภายนอกรถที่เย็นสบาย และบรรยากาศบนท้องถนนที่เป็นมิตรภาพเราเองก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร แต่ในช่วงกิโลเมตรสุดท้ายได้มีฝนโปรยลงมาบ้าง และแล้วก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเราโดยสวัสดิภาพ

วันนั้นมีรถยนต์จอดอยู่เพียงไม่กี่คัน ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ก็คงเป็นเพราะสภาพอากาศในวันนั้นนั่นเอง ไม่ไกลจากที่จอดรถมีห้องน้ำไว้คอยบริการ เราก็ไม่พลาดที่จะลงไปใช้บริการหลังจากขับรถมาชั่วโมงกว่า (อย่าลืมหยิบเหรียญลงไปหยอดกระปุกเป็นค่าบริการด้วยนะ) แต่ทันทีที่กลับเข้ามาในรถฝนเจ้ากรรมก็ได้เทลงมาอย่างหนัก จนไม่สามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้เลย ถูกฝนขังในอยู่ในรถครู่ใหญ่ เมื่อฝนเริ่มซาก็เหมือนมีคนทยอยกันนำรถเข้ามาจอด บ้างก็ขับรถออกไป แต่สำหรับเราที่ไม่ได้เร่งรีบอะไรและยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการขึ้นไปบนจุดชมวิว ก็ยังคงรอดูสถานการณ์ต่อไป

ไม่ห่างจากจุดจอดรถของนักท่องเที่ยวจะมีตู้ขายตั๋วเล็ก ๆ ซื้อตั๋วปุ๊บ รถบริการก็เทียบรับปั๊บ เส้นทางสู่จุดชมวิวหินไม่ใช่น้อย แต่ด้วยฝีมือพี่คนขับรถของท้องถิ่น จึงทำให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยหายห่วง ... จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีก็มาถึง ณ จุดชมวิวในบรรยากาศชุ่มฉ่ำ ไม่นานก็เริ่มมีฝนโปรยลงมาอีกครั้ง บวกกับอากาศที่หนาวเหน็บและลมที่ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเลย ‘สูดอากาศยาว ๆ’ เก็บภาพ! ลม!

แต่ไม่น่าเชื่อว่าในบรรยากาศที่ไม่ได้คาดฝันนั้นกลับมีเสน่ห์ในตัวของมันไปอีกแบบ คือแบบที่เราไม่ได้เห็นในอินเตอร์เน็ต และนั่นกลับกลายเป็น “ความประทับใจ” ทริป “เสม็ดนางชี” ในวันนั้น

ตำนานเรื่องเล่า “เสม็ดนางชี”

สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มาพร้อมกับตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้มีพระภิกษุชรา 1 รูป อยู่ที่เขาพระอาดเฒ่า มีพระภิกษุหนุ่ม 1 รูป อยู่ที่เขาพระอาดหนุ่ม และแม่ชีอาศัยอยู่บริเวณใกล้จุดชมวิว ต่างเดินไปมาหาสู่กัน ซึ่งต้องเดินผ่านลำคลอง เมื่อแม่ชีเดินผ่าน จะต้องเหม็ดผาขึ้น (พับผ้าขึ้น) ให้พ้นจากน้ำ เพราะไม่อย่างนั้นชายผ้าจะเปียก จึงเป็นที่มาของคำว่า “เสม็ดนางชี” นั่นเอง (ข้อมูล: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพังงา)

ข้อควรปฏิบัติ

• ห้ามนำรถขึ้นไปยังจุดชมวิว
• ห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นไป
• ไม่ทิ้งเศษขยะต่าง ๆ หรือถ้ามีเศษขยะ ขากลับต้องนำเศษขยะเหล่านั้นกลับมาด้วย
• ห้ามส่งเสียงดังบริเวณจุดชมวิว

ท่าเรือบ้านหินร่ม

หลังจากอิ่มเอมกับวิวจากยอดเขา บวกกับความเย็นรอบตัว ที่ทำให้รู้สึกว่าเริ่มจะไม่ตื่นเต้นเหมือนตอนขึ้นมาแล้ว พิสูจน์ได้จากอาการขนลุกทั้งตัวเพราะสายฝนที่โปรยลงมาตลอดเวลาหลายนาทีที่ใช้เก็บเกี่ยวความงดงามของธรรมชาติรอบตัวและเก็บความทรงจำบางส่วนไว้ในรูปแบบของภาพถ่าย

เมื่อเลี้ยวหัวรถออกจากลานจอดรถ แทนที่จะเลี้ยวซ้ายกลับภูเก็ต เราเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าจอดเรือของชุมชนที่อยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นจุดชมวิวเสม็ดนางชีมากนัก นั่นก็คือ “ท่าเรือบ้านหินร่ม” ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่และให้บริการโดย วิสาหกิจชุมชน บ้านหินร่ม

เลี้ยวรถเข้าไปตามแผนที่่ผ่านชุมชนเล็ก ๆ มุ่งสู่ท่าเรือ สองข้างทางของถนนเส้นเล็ก ๆ เป็นป่าโกงกาง ในขณะที่สายฝนก็ยังโปรยปรายลงมาบาง ๆ ไม่ขาดสาย ขับไปเรื่อย ๆ จนเหมือนจะไปต่อไม่ได้แล้วก็ได้มีพี่ชายคนหนึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาเทียบ และได้พูดคุยกันจนทราบว่าพี่ชายมีบริการเรือหางยาว ซึ่งพี่แกก็ได้นำเสนอโปรแกรมต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะน่าสนใจ แต่ด้วยบรรยากาศในตอนนั้นก็ชวนให้ลังเลอยู่ไม่น้อย พี่ชายขายของอยู่พักหนึ่งก็ตกลงใจนั่งเรือหางยาวของแกไปชมวิวใกล้ ๆ แค่ไปกลับไม่เกิน 20 นาที ขอแค่ได้ออกไปถ่ายรูปแถวป่าโกงกางใกล้ ๆ เพราะคลื่นน้ำก็ดูเรียบดีไม่ได้น่ากลัวอะไร แล้วเรือพี่แกก็เก๋ไก๋และมีเสื้อชูชีพอยู่เพียบเลย

ขับเรือชิลกันเลียบไปกับป่าโกงกาง เก็บภาพบรรยากาศชิล ๆ ของป่าโกงกางทะเลอันดามันในวันฝนโปรย ไม่นานพี่ชายก็เริ่มขายของอีกรอบ แต่รอบนี้แกลดราคาให้พิเศษ เพื่อพาเราไปชมความงามของ “ถ้ำแก้ว” เพราะถ้ำแก้วคือหนึ่งในไฮไลต์ของชุมชนและอยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งพี่แกก็ยืนยันว่าคุ้มค่าแน่นอน ...

โอเค! สถานีต่อไปถ้ำแก้ว ไม่ได้จับเวลาการเดินเรือแต่แป๊บเดียวเราก็ถึงยังจุดหมาย เรือพวกเราเข้าไปจอดภายในถ้ำแบบสวย ๆ จากนั้นก็เดินชมความงามของถ้ำแก้วที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า “ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา” เพราะข้างในมีหินระยิบระยับสวยมาก ยิ่งส่องไฟจากมือถือไปยังหินเหล่านั้นความแวววับยิ่งเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าคุ้มค่าเหมือนพี่ชายขายของเอาไว้จริง ๆ

จากนั้นเรือของเราได้เคลื่อนตัวถอยออกมาจากถ้ำ สวมเสื้อชูชีพที่วางไว้ใกล้ตัว และเดินทางกลับเข้าฝั่ง ซึ่งก่อนจะถึงฝั่งพี่เขาก็ได้ลดความเร็วลงเพื่อให้เราเก็บภาพบรรยากาศกันอีกรอบ ก่อนจะพา กลับไปยังท่าเทียบเรืออย่างปลอดภัย

จบทริปเรือ เหลือทริปรถ ระยะเวลาชั่วโมงกว่า บนถนนที่สุดแสนจะชิล และสนุกไปกับเพลงในรถ ขับกันเพลิน ๆ จนข้ามสะพานเข้าสู่เกาะภูเก็ต รู้ตัวอีกทีคือ “หิว” เพราะตั้งแต่ข้าวมื้อเช้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย น่าจะ “เที่ยวเพลิน” แต่ไม่นานเกินรอก็ถึงร้านอาหารเป้าหมาย ที่อร่อยทั้งอาหาร เครื่องดื่มและวิวทิวทัศน์ภูเขา เรียกได้ว่าจบทริปไปกลับ “เสม็ดนางชี” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่