อเล็กซ์ผู้ซึ่งเติบโตในสหราชอาณาจักร ในครอบครัวที่มีคุณแม่เป็นชาวไทยและคุณพ่อเป็นชาวอังกฤษ คือนักแข่ง F1 คนที่ 2 ที่จะได้ลงทำการแข่งขันภายใต้ธงชาติไทย ต่อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่ทรงเก็บคะแนนถึง 3 สนาม ในระยะเวลา 5 ปีที่พระองค์ทรงลงแข่งขันในฐานะนักแข่ง ในช่วงปีค.ศ. 1950 และทรงชนะเลิศการแข่งรถกรังด์ปรีซ์ในยุโรปอีกหลายครั้ง ทรงเป็นนักแข่งคนแรกของไทย และคนที่ 4 จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้
อเล็กซ์เข้าร่วมทีม โดยการเข้ามาเสียบแทนที่เบรนดอน ฮาร์ทลีย์ นักแข่งชาวกีวี่ ร่วมกับนักแข่ง F1 ที่หวนคืนสู่สนามแข่งอย่าง ดานีล ควาท (Daniil Kvyat)
“มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก เมื่อได้รู้ว่าผมจะได้ลงแข่งฟอร์มูล่าวันในปีหน้านี้” อเล็กซ์ กล่าว “ผมหลงรักกีฬามอเตอร์สปอร์ตมาตลอด นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสนั่งในรถ ผมก็ฝันถึงการลงแข่งขันรายการฟอร์มูล่าวัน และการที่ผมได้รับโอกาสนี้มันช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริง ๆ”
แม้ว่าอเล็กซ์จะได้มาร่วมทีมโตโร่ รอซโซ่ หลังจากจบที่ 3 ในรายการฟอร์มูล่า ทู แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งตามหลัง เพื่อนนักแข่งฟอร์มูล่า วันหมาด ๆ อย่าง จอร์จ รัสเซลล์ (วิลเลียมส์) และ แลนโด นอร์ริส (แม็กลาเรน) โดยเส้นทางของเขา เพื่อก้าวสู่การเป็นท็อปซีรีย์นั้นถือเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก ในการเดินทางตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา กับเส้นทางการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตในรุ่นจูเนียร์
ผลงานอันยอดเยี่ยมในอาชีพนักแข่งโกคาร์ท ที่รวมไปถึงการที่เขาได้ฝากชื่อในรายการยูโรเปี้ยนจูเนียร์และรุ่นจูเนียร์ในระดับโลกเมื่อปี 2010 ทำให้เขาได้เข้าร่วมทีม เรดบูลจูเนียร์ในปี 2012 แต่เขาก็ต้องตกอันดับไปในช่วงปลายปี หลังเสียแต้มในสนามแข่งขันเปิดตัวของเขาเองในรายการ Formula Renault Eurocup
“มันเป็นปีที่ยากลำบากมากสำหรับผมด้วยเหตุผลหลายประการ ส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากความผิดพลาดของตัวผมเอง แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งกระตุ้นให้ผมฝึกซ้อมหนักยิ่งขึ้นไปอีก” อเล็กซ์ให้สัมภาษณ์กับเรดบูล “ผมเคยมีเสี้ยวความคิดที่จะเลิกแข่งไปเลยด้วยซ้ำ”
แต่เขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาก้าวต่อไปบนเส้นทางอาชีพในรุ่นจูเนียร์ของเขา และยังคงมีชื่อติดอันดับในรายการ ฟอร์มูล่า เรโนลต์ ยูโรคัพ ถึง2 ฤดูกาล และจบอันดับที่ 3 ในรายการแชมเปี้ยนชิพ ปี 2014 ทั้งนี้จากการจบที่อันดับ 7 ของรายการ ฟอร์มูล่า เรโนลต์ 3 เมื่อปี 2015 ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเลื่อนเข้าไปแข่งขันรายการ GP3 ในปี 2016 เป็นรอง ชาร์ลส เลคเลอร์ซ ดาวรุ่งของฟอร์มูล่า วัน และทำให้เขาได้สิทธิ์เข้าแข่งขันในรายการ ฟอร์มูล่า 2 ในปีต่อมา (2017)
เขาใช้เวลา 1 ปีในค้นหาเส้นทางของตัวเอง เขาจบที่อันดับ 10 โดยการขึ้นเหยียบโพเดียมรับรางวัลจำนวน 2 ครั้ง แต่จากการแข่งขันที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นในปี และการแข่งขันที่มากขึ้นในปี 2018 ส่งให้เขาเป็น 1 ใน 2 นักแข่งที่ยังคงมีชื่ออยู่ในรอบชิงแชมป์ในช่วงท้ายของฤดูกาล แต่ในที่สุดก็แพ้ให้กับผู้ชนะอย่างจอร์จ รัสเซลล์ไปในรอบสุดท้ายของการแข่งขัน
ถึงกระนั้นประตูสู่ฟอร์มูล่าวันของอเล็กซ์ก็ยังคงปิดสนิท แม้ว่าเขาจะมีผลงานในรุ่นจูเนียร์อยู่บ้าง และในเดือนกันยายนเขาก็ตัดสินใจที่จะเบนเข็มไปยังฟอร์มูล่า อี โดยการร่วมทีมกับนิสสัน แต่จากนั้นเพียงไม่ถึง 1 เดือน ด้วยความสัมพันธ์อันขมขื่นกับเบรนดอน ฮาร์ทลีย์ ก็ทำให้โตโร่ รอซโซ่ ตัดสินใจมาเคาะประตูเรียกหานักแข่งที่พวกเขาเคยโยนทิ้งเมื่อเกือบ 6 ปีที่ผ่านมา
“ตลอดเวลาของอาชีพนักแข่งเดี่ยว ผมได้ผ่านหลายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีทั้งขาขึ้นและขาลง” อเล็กซ์ กล่าว “ผมถูกถอดจากเรดบูล ในปี 2012 จากนั้นผมก็รู้เลยว่าหนทางสู่ฟอร์มูล่าวันจะต้องยากขึ้นกว่าเดิมมาก ผมฝึกฝนอย่างหนัก ทุ่มเทอย่างเต็มที่ และพยายามสร้างความประทับใจในทุกครั้งที่ลงสนาม ทั้งนี้ผมขอแสดงความขอบคุณเรดบูล และ ด็อกเตอร์ แมคโคร (ดร.เฮลมัท ที่ปรึกษามอเตอร์สปอร์ตของเรดบูล) เป็นอย่างสูง ที่เชื่อมันในตัวผมและให้โอกาสกับผมเป็นครั้งที่ 2” อเล็กซ์ กล่าว
โทโร่ รอซโซ่ จบที่อันดับ 9 ในการแข่งขันฤดูกาล 2018 ด้วยการใช้งานเครื่องยนต์ฮอนด้าที่มีศักยภาพอยู่ในระดับที่พึ่งพาไม่ได้เท่าที่ควร และด้วยความช่วยเหลือจากทีมพี่ทีมน้องระดับแนวหน้าอย่างเรดบูลเรซซิ่ง ที่จะเข้ามาเสริมทัพให้ทีมในฤดูกาลหน้า แต่อเล็กซ์กลับไม่ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนให้กับตัวเอง
“ผมว่ามันเป็นอะไรที่เราต้องทำให้ดีที่สุดในแต่ละสัปดาห์ของการแข่งขันมากกว่า” อเล็กซ์ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์เรดบูล “ผมจะมีเวลาอยู่แค่ไม่กี่วัน ก่อนการแข่งขันที่ไปเมลเบิร์น เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ในการเตรียมตัวให้ดีที่สุด เต็มที่กับทุกสนามการแข่งขัน และยอมรับผลที่เกิดขึ้น”
- Michael Lamonato
