พสกนิกรไทยนับล้านเดินทางมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีในครั้งนี้ รวมทั้งคนไทยทั่วโลกที่ต่างก็ได้ร่วมกันน้อมรำลึกถึงพระมาหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นทั้งประมุขและพ่อของคนไทย รวมทั้งประมุขจากหลายประเทศก็ได้เสด็จฯ และเดินทางมาร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยพร้อมเพรียงกัน ด้วยสำนึกในพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพที่ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้เกิดเป็นภาพความทรงจำที่ได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยและของโลกตราบนานเท่านาน
นับตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ เป็นต้นมา ประชาชนคนไทยก็เหมือนสูญเสียเสาหลักในชีวิตและประเทศชาติไปพร้อมกับความโศกเศร้าอาดูรและนํ้าตาที่ไม่เคยแห้งเหือดไปจากดวงตาและสองแก้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใกล้ถึงวันที่ ๒๖ ตุลาคมเข้ามาเท่าไร หัวใจของคนไทยทุกคนก็ไม่ต่างกันคือความรู้สึกที่เหมือนดวงใจจะแตกสลายเมื่อนึกถึง พระมหากษัตริย์ผู้ทรงตรัสไว้ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” มายาวนานเป็นเวลาถึงกว่า ๗๐ ปี ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์พระองค์เสด็จในทุกพื้นที่ทุรกันดารเพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นับจากนี้ไปประชาชนคนไทย ต้องเดินหน้าต่อไป ถึงแม้ว่าพระองค์จะจากพวกเราไปแล้ว แต่คำสอนและองค์ความรู้ แนวทางการปฏิบัติทั้งในด้านการงานและการดำรงชีวิตของพระองค์ยังอยู่ และพร้อมให้เราน้อมนำคำสอนเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตและการทำงานของเราได้ตลอดเวลา
เราทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รักพ่อ” แต่เราจะร่วมมือร่วมใจกัน “ทำเพื่อพ่อ” ได้ไหม พ่อทำงานหนักมาตลอดชีวิตเพื่อให้พวกเราได้อยู่สบาย เพื่อประเทศไทยได้อยู่ดีกินดีอย่างเช่นทุกวันนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกเราจะลงมือทำเพื่อคนอื่นๆ และขับเคลื่อนประเทศไทยของเราไปก้าวไปข้างหน้า ปรับเปลี่ยนความเห็นแก่ตัวมาเป็นความคิดสร้างสรรค์ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันและกัน มีความสามัคคีเหมือนเพราะที่พ่อของเราทุกคนที่หวังเพียงให้ “คนไทยรักกัน”