“เสน่ห์กระบี่” ความงดงามของธรรมชาติที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

“กระบี่ เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก...” เป็นอีกครั้งที่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้ ในระหว่างทริปชาร์จแบตที่แทบจะไม่ได้เตรียมตัวเลย นึกจะไปก็คือปุบปับขับรถออกไปเลย

จุฑารัตน์ เปลรินทร์

วันอาทิตย์ ที่ 1 มกราคม 2566, เวลา 09:00 น.

เส้นทางภูเก็ต – อ่าวนาง ที่ซึ่งตามปกติแล้วการเดินทางโดยรถยนต์ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 ชั่วโมง แต่ทริปล่าสุดนี่คือปาเข้าไป 4 ชั่วโมงกว่า จอดกินข้าว ซื้อผลไม้ลูกสด ๆ หวาน ๆ ระหว่างทาง ก็ด้วยเพราะความ “อากาศดีมาก ๆ” ไม่ร้อนเลย เป็นวันสบาย ๆ ที่ได้ขับรถชิลจอดไปเรื่อย บนเส้นทางที่มีต้นไม้เขียวขจีสองข้างทางคือเปิดกระจกวิ่งได้แบบสบาย ๆ

หลังจากการขับรถสุดชิลมาหลายชั่วโมง และแล้วก็มาถึงที่พักตามที่ได้ปักหมุดเอาไว้โดยสวัสดิภาพ จากนั้นก็เดินเข้าที่พักโดยไม่รอช้า ตามหลังผู้นำทางไปติด ๆ เพราะถ้าให้เดินเองคือหลงเท่านั้น หลงใหลในความงดงามของกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยบรรยากาศเขียวขจี สระบัว และหน้าผาเด่นตระหง่าน? ไม่ค่ะ! หลงทางเต็ม ๆ เพราะพื้นที่ภายในรีสอร์ทกว้างขวางมาก ถ้าต้องใช้ความสามารถในการเดินหาห้องพักด้วยตัวเองคงต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกัน ระยะทางจากที่จอดรถไปจนถึงที่พักไกลพอสมควร แต่ด้วยบรรยากาศป่าไม้และขุนเขารอบข้าง มันก็ช่วยให้ลืมทุกความเมื่อยล้า พร้อมเปิดรับความรู้สึกอิ่มเอมและสงบสุข

เดินมาไม่นานก็ถึงห้องพักในบรรยากาศกระท่อมกลางป่า รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์กับวิวหน้าผา โอเค! ทริปชาร์จแบตคราวนี้ได้แบต กลับบ้านไปเต็ม ๆ แน่นอน ถึงตอนนี้ฝนก็ยังไม่ได้ตกลงมา แม้จะมีกลุ่มเมฆปรากฏสลับกับฝนเล็กน้อยระหว่างทางที่ขับจากภูเก็ตมาถึงกระบี่ ท้องฟ้ายังคงสดใสส่งบรรยากาศแมกไม้เขียวขจีให้ดีงามขึ้นไปอีก

เมื่อเก็บของเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาชิลริมสระ จัดแจงแต่งตัวให้พร้อมรับแสงแดดอ่อน ๆ และพร้อมออกไปหาข้าวกินได้ทันทีที่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องเดินกลับไปเปลี่ยนชุด ทันทีที่ได้ที่นั่งพร้อมผ้าเช็ดตัวปูรองหลังเบา ๆ เวลคัมดริงค์ของเราก็มา “น้ำอัญชันมะนาว” เป็นอะไรที่เข้ากันมาก ๆ ยังมีน้อง ๆ ลูกชุบเคียงคู่มาด้วย สดชื่น 1 กรุบ และแล้วก็ได้เวลาพักสายตา พยายามเลี่ยงการใช้โทรศัพท์เพื่อเพิ่มอรรถรสของการพักผ่อน เพื่อนร่วมรีสอร์ทที่นอนรับแดดข้าง ๆ กันมีอยู่ประมาณ 6 คน ซึ่งเสียงคนคุยกันแทบจะไม่ได้ยิน จะมีก็แต่เหล่านกนานาพันธุ์ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว บินเกาะต้นไม้ต้นนั้นทีต้นนี้ที มีนกเงือกด้วยนะเออ สักพักพี่ใหญ่กาดำก็มาร่วมสร้างสีสันและเติมเต็มหนึ่งวันพักผ่อนในอ้อมกอดของธรรมชาติให้กลายเป็นวันที่สมบูรณ์แบบ

นอนพักผ่อนไปสักพักท้องเจ้ากรรมก็ส่งสัญญาณให้ออกไปหาอะไรบรรเทาความหิวเสียหน่อย ขับรถออกไปจากโรงแรมไม่ไกลนักก็ได้แวะเข้าไปนั่งร้านข้าวที่ได้ข่าวว่ามื้อเย็นนี่คนเยอะมาก มาไม่ทันคือโต๊ะเต็ม จัดสิคะรออะไร อาหารที่สั่งก็กับข้าวง่าย ๆ ที่กินได้ทุกวัน ‘ข้าวไข่เจียว ผัดผักบุ้ง และลิ้นจี่โซดา’ อื้อหือ! นับว่าเป็นมื้ออร่อยอีกหนึ่งมื้อ

เมื่อกินข้าวอิ่มสบายท้องแล้วก็ได้เวลาไปชมทะเลอ่าวนางเสียหน่อย และสิ่งที่เห็นก็คือผู้คนจำนวนมากมาปูเสื้อพักผ่อนริมทะเล บ้างก็นั่งเรือกลับเข้ามาที่ฝั่งหลังทริปเที่ยวเกาะของพวกเขา บางลำก็ออกเรือไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวเต็มลำ เป็นภาพที่เพลิดเพลินสายตามาก มองทะเล มองฟ้า ด้านหลังคือความบันเทิงที่เห็นว่ามีบาร์และร้านอาหารเปิดให้บริการอย่างครึกครื้น ช่างต่างกับครั้งหลังสุดที่ขับรถมาชาร์จแบตที่อ่าวนาง ในช่วงที่การท่องเที่ยวยังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคระบาด

นั่งชมพระอาทิตย์อยู่นานพอสมควร ด้วยว่าอยากจะเก็บบรรยากาศพระอาทิตย์อัสดงที่อ่าวนาง แต่คุณเมฆก็ไม่เป็นใจ แอบมาขวางทางเบา ๆ จากนั้นก็ตัดสินใจกลับไปห้องพักดีกว่า แต่ก็ไม่ลืมแวะซื้อลิ้นจี่โซดาร้านเดิมกลับไปด้วย อร่อยเกินต้านขนาดนั้น แก้วเดียวคงไม่พอ
ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้า ๆ กับเสียงฟ้าร้องและมีฟ้าแลบสลับกันไป ซึ่งก็ไม่แปลกใจกับฟ้าฝนที่ยังคนโปรยปรายลงมาในช่วงปลายปีเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาของฝนฟ้าเมืองภูเก็ตและกระบี่ และแล้วก็หลับไปกับเสียงฝน

ตื่นเช้ามาพบกับหยดน้ำฝนบนใบหญ้า หน้าผาสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้า กลิ่นบรรยากาศรอบตัวที่แสนจะสะอาดและสดชื่น โอ้โห! เป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจเป็นที่สุด

แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา และแล้วก็ได้เวลากลับเกาะภูเก็ต... ลาแล้วกระบี่ ไว้มีโอกาสจะกลับมาเที่ยวอีกนะ และในขณะที่นั่งเขียนบทความนี้อยู่ที่ภูเก็ต ในใจก็คิดไปแล้วว่า วันนี้เราจะออกไปชมบรรยากาศ ‘ทะเลแสนงาม’ ที่หาดไหนของภูเก็ตดีนะ...

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่