เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 68 ณ หาดท่าหลา ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นในการจัดทำมาตรการคุ้มครองพะยูนและแหล่งหญ้าทะเลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการคุ้มครองพะยูนและแหล่งหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญสำหรับพะยูน และเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่อาจส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลหายาก
การประชุมครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานสำคัญเข้าร่วม อาทิ นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, นายณัฐกฤษณ์ พลเพชร ผู้อำนวยการส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต, และนายนเรศ ชูผึ้ง ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทุกท่านได้ร่วมกันพิจารณามาตรการคุ้มครองและอนุรักษ์พะยูน รวมทั้งการจัดการแหล่งหญ้าทะเลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
ซึ่งการประชุมครั้งนี้ยังได้รับความสนใจจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ ที่ได้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นและแนวทางในการคุ้มครองแหล่งหญ้าทะเล โดยจะเน้นการควบคุมกิจกรรมทางทะเลที่อาจส่งผลกระทบต่อพะยูน เช่น การงดทำประมงบางประเภท, การลดความเร็วในการสัญจรทางน้ำ, การควบคุมกิจกรรมสันทนาการทางทะเล, และการดูแลด้านมลพิษที่เข้มงวด
พะยูนเป็นสัตว์ทะเลหายากที่ได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศทางทะเล โดยพะยูนอาศัยหญ้าทะเลเป็นอาหารหลัก ขณะนี้ พะยูนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมีการอพยพจากจังหวัดตรังที่หญ้าทะเลเสื่อมโทรม โดยอพยพเข้ามาหากินในพื้นที่ชายฝั่งของจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะในพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลสำคัญที่ได้แก่ สะพานราไวย์, อ่าวตังเข็ม, อ่าวป่าคลอก และร่องน้ำสะพานสารสิน ดังนั้นเพื่อคุ้มครองพะยูนและแหล่งหญ้าทะเล จังหวัดภูเก็ตจึงได้ออกประกาศพื้นที่คุ้มครองพะยูนเฉพาะกิจขึ้น โดยมีการควบคุมกิจกรรมทางทะเลอย่างเข้มงวด และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การอนุรักษ์พะยูนในพื้นที่ภูเก็ตมีผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ
การประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์พะยูนและแหล่งหญ้าทะเลในจังหวัดภูเก็ต โดยคาดหวังว่าจะช่วยให้การอนุรักษ์พะยูนมีความยั่งยืนและคงอยู่ในระบบนิเวศทางทะเลของภูเก็ตต่อไปในอนาคต