ในความผิดฐาน “ร่วมกันรีดเอาทรัพย์, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”
สืบเนื่องจาก เมื่อปี 2566 ผู้เสียหาย ได้ติดต่อกับหญิงไทยคนหนึ่ง ชื่อไอริน ผ่านแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก และไลน์ เมื่อพูดคุยกันได้สักระยะหนึ่ง หญิงดังกล่าวได้ส่งรูปอนาจารมาให้ดู จากนั้นก็ชักชวนให้ผู้เสียหายทำการช่วยตัวเองให้หญิงดังกล่าวดูปรากฏว่าในขณะที่ทำการช่วยเหลือตัวเองนั้น อีกฝ่ายได้มีการบันทึกภาพไว้ ต่อมาคนร้ายได้ข่มขู่ว่าให้ผู้เสียหายโอนเงินไปให้ถ้าไม่ทำการโอนเงินจะนำคลิปวิดีโอ ส่งให้กับคนรู้จักดู ผู้เสียหายกลัวว่าภาพจะถูกเผยแพร่ จึงยอมโอนเงินให้คนร้าย เป็นเงิน 1,900,000 บาท หลังจากนั้นคนร้ายยังติดต่อขอเงินเพิ่มอีกหลายครั้ง ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับคนร้ายในคดีนี้
จากการสืบสวนเส้นทางการเงินพบว่า เมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปยังบัญชีม้าตามที่กลุ่มคนร้ายกล่าวอ้างแล้ว เงินทั้งหมดจะถูกนำไปซื้อเหรียญดิจิทัล ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินในรูปแบบเหรียญดิจิทัล พบว่ามีเงินหมุนเวียนกว่า 5,000 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ
ก่อนเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ร่วมขบวนการในกลุ่มรับผลประโยชน์และฟอกเงินได้ทั้งสิ้นจำนวน 3 ราย จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อตรวจยึดทรัพย์สิน และจับกุมผู้ที่ร่วมขบวนการต่อไป
ผลปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. และ พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์, พ.ต.ต.ดุสิต ยอดหวิด, พ.ต.ต.กษิดิศ ดิลกคุณานันท์ สว.กก.1 บก.ปอท. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ปอท.