“เมื่อปี 2559 เทศบาลตำบลราไวย์ได้อนุญาตให้โครงการดังกล่าวก่อสร้างบ้านทั้ง 4 หลังได้ เพราะเจ้าของมีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดที่ถูกต้องตามกฎหมาย และแบบขออนุญาตก่อสร้างที่ยื่นมาก็เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด” นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ เปิดเผยกับ The Phuket News
“ต่อมาปี 2560 มีผู้ร้องเรียนมาว่าโครงการดังกล่าวก่อสร้างบดบังวิว (อ่านเพิ่มเติม คลิก) เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลราไวย์จึงเข้าไปตรวจสอบ พบว่าโครงการมีการก่อสร้างเกินกว่าแบบขออนุญาตก่อสร้างที่ยื่นมา คือสร้างออกมาใกล้เขตถนนและสร้างอาคารเชื่อมต่อกัน ผมจึงได้สั่งให้เจ้าของโครงการรื้อถอนในส่วนที่สร้างเกินกว่าที่ขออนุญาตก่อสร้างออกทั้งหมด” นายอรุณ กล่าว “หลังจากนั้น เจ้าของโครงการก็รื้อถอนตามที่สั่ง พร้อมยื่นขออนุญาตปรับแบบก่อสร้าง โดยลดจำนวนชั้นของบ้านลงเหลือสูงสุดแค่ 2 ชั้น เพราะว่าอยากลดแรงกระทบจากสังคม”
ก.ย. 60 พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำทีมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อตรวจสอบพื้นที่และบ้านพักตากอาาศหรูดังกล่าว ซึ่งทาง DSI ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบในเบื้องต้นแล้ว และพบว่า มีการออกโฉนดที่ดินเฉพาะรายโดยไม่มีเอกสารแจ้งการครอบครองมาก่อน ซึ่งผู้ขอออกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
ก.พ. 61 ชุดปฏิบัติการพยัคฆ์ไพร นำโดย นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ พร้อมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบบริเวณพิกัดอ่าวเสนหลังมีการร้องเรียนถึงการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศ หรูบนโขดหินจนนำสู่การระงับการก่อสร้าง ซึ่งจากการตรวจสอบคณะเจ้าหน้าที่ตรวจพบมีการบุกรุกยึดถือครอบครองพื้นที่ฝั่งตรงข้ามบ้านพักตากอากาศหรูหลังดังกล่าวบนภูเขาชัน ตรวจพบมีการก่อสร้างถังเก็บน้ำปิดเส้นทางน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาด้านบน (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
นายอรุณกล่าวต่ออีกว่า ภายหลังจากทางเทศบาลสั่งให้แก้แบบตามอำนาจหน้าที่ และทางโครงการได้ยื่นแบบที่มีการปรับแก้ในรอบแรกแล้ว โครงการดังกล่าวก็ได้ก่อสร้างในส่วนที่เหลือ โดยได้นำแผ่นสังกะสีมาปิดไซต์ก่อสร้าง ทำให้มองไม่เห็นว่าการก่อสร้างดำเนินไปอย่างไร
“กระทั่งเมื่อต้น ก.พ. 62 ผมให้เจ้าหน้าที่กองช่างของเทศบาลลงพื้นที่ไปตรวจสอบโครงการนี้อีกครั้ง เจ้าหน้าที่กลับมารายงานผมว่า โครงการมีการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบขออนุญาตก่อสร้างที่ยื่นมา ผมจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำรายงานมาว่า มีจุดใดบ้างที่สร้างไม่ตรง โดยพบว่ามีทั้งหมด 3 จุด คือ สร้างสระว่ายน้ำเพิ่มขึ้นมา ซึ่งไม่มีในแบบขออนุญาตก่อสร้างที่ยื่นมา รวมไปถึงได้สร้างระเบียงขึ้นมาโดยไม่มีในแบบขออนุญาตก่อสร้างที่ยื่นมาเช่นกัน และสร้างอาคารเชื่อมต่อกันอีกครั้ง ทั้งที่เคยสั่งให้รื้อออกไปแล้วเมื่อตอนปี 60” นายก ทต.ราไวย์ อธิบาย “จากนั้นมี.ค. 62 ทางเทศบาลได้ทำหนังสือสั่งระงับการใช้อาคารชั่วคราว เพื่อให้เจ้าของโครงการต้องแก้ไขให้ถูกต้องภายในเวลา 30 วัน”
นายกอรุณ อธิบายเพิ่มเริ่มอีกว่า “สำหรับส่วนที่โครงการต้องทำการแก้ไขคือ ต้องรื้อในส่วนของระเบียงและส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างอาคารออก สระว่ายน้ำจะต้องปรับแบบก่อสร้างและนำมาขออนุญาตกับเทศบาลตำบลราไวย์อีกครั้ง เพื่อให้กองช่างของเทศบาลตำบลราไวย์ได้พิจารณาจากข้อกฎหมายทั้งหมด ว่าจะอนุญาตให้ก่อสร้างสระว่ายน้ำต่อไปได้หรือไม่ หากอนุญาตให้สร้างจะสามารถสร้างได้ขนาดไหน”
อย่างไรก็ตาม ในห้วง 30 วันที่กำหนด ทางโครงการจะต้องแสดงให้เห็นว่ากำลังดำเนินการแก้ไขตามที่สั่งจริง หากครบกำหนดแล้วแต่ยังรื้อถอนไม่เสร็จ ก็สามารถขออนุญาตขยายเวลาทำงานได้
“แต่ถ้าครบกำหนด 30 วันแล้ว โครงการยังไม่ดำเนินการอะไรตามที่สั่งให้แก้ไขเลย ผมก็จะไปแจ้งความดำเนินคดี ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน”
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ผ่านมา นายอรุณได้ลงพื้นที่พร้อมด้วยนายประกอบ วงศ์มณีรุ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.วิกรม จากที่ นายอำเภอเมืองภูเก็ต และนายทวี หอมหวล โยธาธิการและผังเมืองภูเก็ต
“จากการลงพื้นที่พบว่าโครงการได้หยุดการก่อสร้างแล้ว และทางเราได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.ฉลอง เพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน” นายอรุณกล่าว
