ดังนั้น ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโควิด 19 เห็นชอบประกาศลดระดับการเตือนภัยโควิดจากระดับ 4 เหลือระดับ 3 ทั่วประเทศ
คำแนะนำคือ กรณีการไปในสถานที่เสี่ยง ให้ทุกคนงดเข้าสถานบันเทิง เลี่ยงเข้าสถานที่ปิด มีการระบายอากาศไม่ดี และสถานที่แออัด ส่วนการร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมาก การเดินทางข้ามพื้นที่/ข้ามจังหวัด และการเดินทางเข้า-ออกประเทศ หากเป็นคนทั่วไปสามารถดำเนินการได้ แต่ให้หลีกเลี่ยงเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด สำหรับกลุ่มเสี่ยง 608 คือ ผู้สุงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ 3 เข็ม ให้เลี่ยงร่วมกิจกรรมรวมกลุ่มจำนวนมาก เลี่ยงโดยสารขนส่งสาธารณะทุกประเภท และงดเดินทางไปต่างประเทศ ถือเป็นข้อแนะนำของ สธ. ไม่เกี่ยวกับมาตรการบังคับ
นพ.โอภาส กล่าวว่า สถานการณ์จริงของผู้ติดเชื้อรายใหม่ ปอดอักเสบ ใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มลดลงสอดคล้องกันทั้งหมด เป็นไปตามการคาดการณ์ของ สธ. หรือบางตัวมีแนวโน้มดีขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ขณะนี้มีจังหวัดที่เข้าสู่ระยะทรงตัว (Plateau) แล้ว 23 จังหวัด และสถานการณ์ดีขึ้นอยู่ในระยะขาลง (Declining) 54 จังหวัด แนวโน้มจากสถานการณ์เข้าสู่ระยะหลังการระบาดใหญ่ (Post-Pandemic) เข้าไปเต็มที
ทั้งนี้ ขอให้ทุกจังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติการเตรียมพร้อมเข้าสู่ระยะโรคประจำถิ่น เพื่อการมีส่วนร่วมของสถานประกอบการ หน่วยงานภาครัฐและประชาชน โดยเดินหน้ามาตรการ 2U คือ Universal Prevention ป้องกันตนเองครอบจักรวาล ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และ Universal Vaccination โดยเน้นให้กลุ่ม 608 รับเข็มกระตุ้นมากกว่า 60% และเน้นเรื่อง 3 พอ คือ เตียงสีเหลือง สีแดง, ยา เวชภัณฑ์ วัคซีน และบุคลากรทางการแพทย์มีเพียงพอต่อการให้บริการที่ได้มาตรฐาน
“ความร่วมมือของประชาชนและวัคซีนเข็มกระตุ้นมีความสำคัญมาก กระทรวงสาธารณสุขมีวัคซีนทุกชนิดไปที่ รพ.สต.สามารถวอล์กอินไปฉีดได้ ส่วน กทม.ก็จัดหน่วยบริการประชาชน ทั้งแบบลงทะเบียนล่วงหน้าและวอล์กอินเช่นกัน ย้ำว่าหากฉีดครบ 2 เข็ม 3 เดือนให้มารับเข็ม 3 และ 3 เข็ม ครบ 4 เดือนให้มารับเข็ม 4 เพื่อช่วยกันเดินหน้าเข้าสู่โรคประจำถิ่นต่อไป” นพ.โอภาส กล่าว