สาวผวาหนัก หลังโดนคนร้ายชักปืนจ่อหัวคดีไม่คืบ หวั่นความปลอดภัย คดียังเงียบ

ภูเก็ต - จากกรณี เมื่อวันที่ 23 มี.ค.66 มีเฟซบุ๊กชื่อ Chanya Jaroensin โพสต์รูปภาพใบแจ้งความและรูปผู้ชายใส่เสื้อสีดำ กางเกงสีน้ำเงิน พร้อมข้อความว่า “ผู้ร้าย ข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกาย ใครมีเบาะแส และ ที่อยุ่ แจ้งมาที่เจ๊แหวน #มีรางวัลให้”

เอกภพ ทองทับ

วันจันทร์ ที่ 27 มีนาคม 2566, เวลา 08:25 น.

ภาพ เอกภพ ทองทับ

ภาพ เอกภพ ทองทับ

ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.29 น. วันที่ 23 มี.ค. ในตลาดสดแม่สมปอง บ้านลิพอน ม.1 ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง มีชายฉกรรจ์จำนวน 3 คน หนึ่งในชายฉกรรจ์ 1 คน (ชื่อนายดาริส) บุกเข้ามาในร้านแหวนบิวตี้แล้วควักอาวุธปืนออกมาจากเอวและบอกว่า “มึงไม่จ่ายค่าแรงเมียกู” พร้อมกับ น.ส.แนน เมียของคนร้ายเข้ามาล็อคตัวเจ้าของร้านไว้ ก่อนที่คนร้ายได้เงื้อปืนทำทีว่าจะตบ และถีบเข้ามาถีบที่หน้าท้องด้านซ้าย หลานสาวเจ้าของร้านวิ่งพุ่งออกจากร้านไปขอความช่วยเหลือ ก่อนคนร้ายตกใจกลัวในขณะที่คนในร้านวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือ

จากนั้นในวันที่ 26 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พบกับ น.ส.ชัญญา เจริญสิน (เจ๊แหวน) อายุ 37 ปี กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตนขายของหน้าแผงตามปกติ ได้มีลูกน้องที่เป็นผู้หญิงที่โดนไล่ออกไปแล้วเดินมาตามตน เมื่อเห็นว่าเป็นผู้หญิงมาคนเดียว ตนไม่อยากให้คนนอกรู้ว่ามีปัญหาอะไร เพราะกลัวเขาอายจึงเรียกเขาไปคุยในห้องและพาเข้ามาในร้านเสริมสวย ซึ่งตนไม่รู้ว่าเขาพาชายฉกรรจ์ตามมาด้วย

“ขณะที่คุยกันอยู่และกำลังจะบอกว่าทำไมเขาจึงโดนไล่ออกและโดนหักเงิน ปรากฏว่ามีผู้ชายท่าทางน่ากลัวมากเปิดประตูเข้ามาแล้วก็โวยวาย เราเลยลุกขึ้นไปเพื่อจะอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่เขาโมโหมาก เขาไม่ฟังว่าเรื่องเป็นอย่างไร เขาเปิดเสื้อออกมาแล้วชักปืนออกมาว่าจะยิงให้ตาย ในร้านไม่ได้มีเราแค่คนเดียว มีหลานสาวด้วยก็กลัวอันตราย เราก็พุ่งไปหาเขา ลูกน้องเก่าผู้หญิงที่เป็นเมียเขาล็อคเราไว้ เราพยายามจะสลัดเขาก็เงื้อมือว่าจะตบด้วยปืน แต่เราพยายามหลบ เพื่อนำตัวเข้าไปบังไว้ให้หลานสาวหนีไป หลานสาวก็ยังหนีไม่ได้ เพราะข้างนอกมีผู้ชายที่เขาพามาด้วย 2 คนยืนบังหน้าร้านอยู่ เลยมีการชุลมุนกันเขายกเท้าถีบเรา เราพยายามสะบัดผู้หญิงให้ออก พอช่วงชุลมุนหลานสาวเราก็วิ่งออกไปตะโกนเรียกคนมาช่วย แต่ความที่ตลาดมีเสียงเพลงดังมาก เรียกใครช่วยไม่ทันก็เลยมีการชุลมุนอยู่ข้างหน้าร้านจนเขาสตาร์ทรถหนีออกไป เหลือแต่ผู้หญิงที่ล็อคเราไว้แล้วก็มีคนในตลาดที่เริ่มสังเกตเห็นแล้วว่ามีอะไรก็วิ่งตามมา” เธออธิบาย

น.ส.ชัญญา เล่าถึงเหตุที่ต้องไล่พนักงานในร้านว่า ผู้หญิงคนดังกล่าวเป็นลูกน้องทำงานกับตนมาหลายเดือนและเป็นคนที่ทำงานนานที่สุด ก่อนหน้านี้ตนต้องไปต่างจังหวัดจึงสั่งงานเอาไว้อย่างละเอียด

"เขารับปากว่าเขาจะทำให้ พอถึงเวลาเขาไม่ทำ ทำให้มีความเสียหายอยู่ภายในร้าน ของหมดไม่มีการสั่งออเดอร์ ไม่มีของขายหน้าร้าน ไม่มีการดูแลรักษา ของเสียหายหมดเลย พอเรากลับมามูลค่าความเสียหายประมาณ 2-3 หมื่นบาท ก็เลยปลดพนักงานชุดนั้นทั้งชุดเลย แล้วก็มีการหักเงินไว้แต่จำนวนไม่มาก  ชุดที่ไม่ยอมออกเขาขอแก้ตัวขอทำต่อ เราก็หักแค่ 200 บาท เพราะเขาเพิ่งมาทำงาน คนที่ออกไปเราก็หักแค่หลักร้อย แต่คนนี้เป็นคนที่รับผิดชอบหลัก จึงได้หักเงินเขาไว้ 2,400 บาท ซึ่งเขาไม่ยอม เขาออกไปตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. จนถึงวันพฤหัสบดีวันที่ 23 มี.ค. เขาเข้ามาคุย ซึ่งลูกน้องคนอื่นเขาเข้ามาคุยตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องแล้วเขาก็ได้เงินชดเชยกลับไป ซึ่งเราก็ให้ทุกคนและมีพยาน แต่เขาไม่เลือกที่จะทำแบบนั้น เขาพาสามีของมาพาปืนเข้ามามุ่งร้าย ถ้าเขาพูดดีๆ เราก็จะให้อยู่แล้วเพราะปกติ แจกโบนัสลูกน้องมากกว่านั้นอีก”

“แต่เขาไม่เลือกวิธีนั้น เขาเลือกวิธีที่จะพกปืนเข้ามาเพื่อที่จะข่มขู่เราเพื่อที่จะยิงเรา ตอนที่เกิดเหตุนั้นความกลัวไม่มี มีความรู้สึกที่ว่าคนที่อยู่กับเรา กลัวคนที่อยู่กับเราไม่ปลอดภัย เราต้องทำยังไงก็ได้ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด คือถ้าเราเจ็บคนอื่นต้องไม่เจ็บ เวลาผ่านไปแล้ว ตอนนี้กลัวไหมกลัว เพราะเราไม่สามารถจับคนร้ายได้ ทั้งที่เรามีพิกัด ที่อยู่ที่ทำงานเขา เราแจ้งไปยังหน่วยงานต้นสังกัดเขา แต่ทุกอย่างนิ่งหมดเลย กลายเป็นว่าเราที่เป็นผู้เสียหาย เราต้องมานั่งระแวงเอง ทำงานไม่ได้เต็มที่ จะไปไหนก็กลัว ต้องรอให้คนพาไปทำงานตรงนั้นตรงนี้” น.ส.ชัญญา กล่าว

ทั้งนี้ น.ส.ชัญญา กล่าวอีกว่า ตนได้มีการแจ้งความเอาไว้ตั้งแต่คืนที่เกิดเหตุ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าจะออกหมายเรียก และหากออกหมายเรียก 2 ครั้ง ยังไม่เข้ามาพบ ทางตำรวจก็จะออกหมายจับ 

“อยากให้ตำรวจรับรู้ไว้ว่า พวกเราอยู่ด้วยความหวาดกลัวหวาดระแวง การดำเนินชีวิตไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา เรามีร้านขายข้าวแกง ต้องไปซื้อของตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ซึ่งเป็นอะไรที่กลัวมาก ไม่ไปก็ไม่ได้เพราะเป็นงาน กลางคืนกว่าจะปิดร้านก็ 5 ทุ่มเที่ยงคืน ตลาดปิดหมดแล้ว มืดหมดแล้ว เรายังต้องเก็บของกันอีก ไม่รู้เลยว่าเขาจะมาทำร้ายลับหลังตอนไหน เพราะเขารู้แล้วว่าเราแจ้งความ แต่ยังไม่ได้ดำเนินคดี เขายังไม่ได้โดนจับไปทั้งที่เขาอุกอาจมีปืนในครอบครอง ทำให้รู้สึกว่าเรากับหลานที่เป็นพยานอยู่กันยากมากและหวาดกลัวมาก ถ้าเขามาทำร้ายอะไรอีก เราก็ตอบโต้เขาไม่ได้ เพราะไม่มีอาวุธอะไร หวังพึ่งตำรวจให้ดำเนินการให้รวดเร็วกว่านี้ ขอให้นึกถึงชีวิตของประชาชนด้วย” เธอกล่าว



 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่