ภายหลังจากที่มีผู้พบเห็นจระเข้ที่บริเวณชายหาดยะนุ้ย ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 18 ที่ผ่านมา (อ่านเพิ่มเติม คลิก) นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าชาวบ้านพบเห็นจระเข้ขนาดใกล้เคียงกันบริเวณหาดราไวย์อีกด้วย ทำให้นยกเทศมนตรีตำบลราไวย์ต้องจัดชุดเฝ้าระวังจระเข้ตลอดทั้งสองแนวชายหาด พร้อมกับสั่งห้ามนักท่องเที่ยวไม่ให้ลงเล่นน้ำโดยเด็ดขาด (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
จากนั้นในวันที่ 19 ก.ค. จังหวัดภูเก็ตจึงได้ประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญการจับจระเข้ จากศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงน้ำจืดภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือ "ชุดไกรทองลุ่มน้ำตาปี" ของกรมประมงเพื่อเข้ามาดำเนินการ โดยเริ่มปฏิบัติงานทันทีที่เดินทางถึงจังหวัดภูเก็ตในคืนวันเดียวกัน แต่จระเข้ไม่ยอมให้เข้าใกล้ (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
จากการไล่ล่าของทีมไกรทองฯ ก็ทำให้จระเข้ว่ายน้ำหนีไปโผล่ยังหาดกะตะ เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ทำให้ศูนย์เฝ้าระวังของทต.ราไวย์ต้องยุบไป แต่ยังคงติดตามสถานการณ์จระเข้กันอย่างใกล้ชิด (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
จากใต้เกาะมุ่งสู่ชายหาดฝั่งตะวันตกอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีผู้พบเห็นจระเข้ที่บริเวณหาดไตรตรังานวันที่ 23 ก.ค.โดยเชื่อว่าเป็นจระเข้ตัวเดียวกับที่พบที่บริเวณหาดยะนุ้ย หาดในหาน และหาดกะตะ (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
ทำให้ทางจังหวัดต้องดำเนินการกดดันจระเข้อย่างหนัก แต่การไล่ล่าก็เป็นไปด้วยความลำบากเนื่องจากเป็นทะเลเปิดและมีคลื่นลม พร้อมกันนี้ จังหวัดภูเก็ตก็ได้ออกประกาศถึงผู้เลี้ยงจระเข้ให้จดแจ้งการครอบครองอย่างถูกต้อง หลังจากเจ้าหน้าที่ประมงจังหวัดไม่สามารถระบุที่มาของจระเข้ตัวดังกล่าวได้ ฝ่าฝืนโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
กระทั่งล่าสุด มีผู้พบเห็นร่องรอยจระเข้อย่างชัดเจนที่บริเวณชายหาดบางเทา เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ทำให้ทีมไล่ล่าต้องเพิ่มขีดความกดดันขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันจังหวัดภูเก็ตก็ได้จัดทำกรงขนาด กว้าง 60 ซม. ยาว 2.5 เมตรจำนวนถึง 8 กรง วางดักเจ้าจระเข้พร้อมใส่อาหารสุดโปรดไว้เป็นเหยื่อล่อในช่วงกลางคืนของวันดังกล่าว (อ่านเพิ่มเติม คลิก)
ทั้งนี้ ก่อนที่ทีมไล่ล่าจระเข้จะสามารถจับได้จนสำเร็จนั้นต้องมีการวางแผนวันต่อวัน รวมถึงใช้โดรนบินสำรวจและขอความร่วมมือกับชาวบ้านให้ช่วยออกค้นหาและแจ้งเบาะแส จนสามารถจับเจ้าจระเข้ได้ในที่สุดหลังปฏิบัติการไล่ล่านานกว่า 10 วัน