14 อาหารปลอดภัยที่ทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

สุขภาพ - อาหารบางชนิดมีแคลอรี่ต่ำและเต็มไปด้วยเส้นใย ทำให้ทานได้โดยไม่ต้องกังวลว่าน้ำหนักจะขึ้น แม้ว่าจะไม่มีอาหารที่ไร้แคลอรี่เสียทีเดียวเลย แต่ก็ยังพอมีอาหารบางชนิดที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก แคลอรี่ต่ำ เต็มไปด้วยเส้นใยที่ทำให้รู้สึกอยู่ท้อง ทำให้สามารถทานได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วน

โพสต์ทูเดย์

วันเสาร์ ที่ 7 ตุลาคม 2560, เวลา 12:00 น.

ซึ่งอาหารกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผักและผลไม้ที่ไม่มีแป้ง นอกจากจะทานได้อย่างเพลิดเพลินแล้ว ยังเต็มไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย

ผักขึ้นฉ่าย: เกือบ 95% ของขึ้นฉ่ายเป็นน้ำ นอกจากนั้นยังมีโพแทสเซียม โฟเลต เส้นใย และวิตามินเคที่จำเป็นต่อความต้องการในชีวิตประจำวัน แนะนำให้ทานผักขึ้นฉ่ายตอนที่ยังสดใหม่อยู่ เนื่องจากจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเต็มที่ หากทิ้งไว้ 5 - 7 วันหลังจากซื้อมาแล้วประโยชน์จะลดลง

ผักคะน้า: คะน้าเป็นหนึ่งในผักไม่กี่ชนิดที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 แคลอรีต่ำแค่ประมาณ 33 แคลอรี่ต่อถ้วย แถมยังมีโปรตีน 3 กรัม และไฟเบอร์ 2.5 กรัมต่อหนึ่งจาน นอกจากนั้นยังมีวิตามินและโฟเลตสูงอีกด้วย

บลูเบอร์รี: เราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รีเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะบลูเบอร์รีนั้นเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ แถมยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์ และมีเพียงประมาณ 85 แคลอรี่ต่อแพ็คเท่านั้น

แตงกวา: แตงกวาเป็นผักที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบค่อนข้างสูง และมีแคลอรี่เพียง 16 แคลอรีต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเท่านั้น โดยคุณค่าทางโภชนาการของแตงกวาส่วนใหญ่อยู่ในผิวและเมล็ด ซึ่งมีทั้งเส้นใยและวิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตา ดังนั้นจึงไม่ควรปอกเปลือกแตงกวาออก เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด

มะเขือเทศ: อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่ามะเขือเทศนั้นเต็มไปด้วยไลโคปีน นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามิน A, C, B2, โฟเลท โครเมียม โพแทสเซียม และเส้นใยอีกด้วย ที่สำคัญคือมะเขือเทศขนาดกลางหนึ่งลูกมีแคลอรี่ประมาณ 25 แคลอรี่เท่านั้น

ส้มโอ: ส้มโอเป็นที่รู้จักกันมานานแล้วในนามของผลไม้ที่ช่วยลดน้ำหนัก เนื่องจากมีเส้นใยสูง ช่วยให้ไม่ค่อยหิว และรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายได้ดี โดยส้มโอครึ่งลูกมีเพียง 50 แคลอรี่เท่านั้น นอกจากนั้นวิตามินซีที่พบในส้มโอยังสามารถลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เพราะมีส่วยช่วยลดคอเลสเตอรอล และส่งเสริมระบบย่อยอาหาร แถมโฟเลตที่พบในส้มโอยังเหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์อีกด้วย

บร็อกโคลี: บร็อกโคลีเป็นผักที่มีสาร sulforaphane ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง ทำหน้าที่ล้างสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E, K และมีแคลอรี่เพียงประมาณ 31 แคลอรี่ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเท่านั้น โดยบรอกโคลีจะมีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดเมื่อรับประทานแบบดิบหรือแบบนึ่ง

แคนตาลูป: แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตา นอกจากนั้นยังมีวิตามิน A และ C ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากแคปตาลูปประกอบไปด้วยน้ำถึง 90% จึงทำให้มีแค่ 55 แคลอรี่ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเท่านั้น

ดอกกะหล่ำ: แม้ว่าดอกกะหล่ำจะไม่ได้เป็นสีเขียว แต่นั่นไม่ได้ทำให้คุณค่าทางโภชนาการของมันลดลงเลย ดอกกะหล่ำนั้นเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเป็นแหล่งโฟเลท ไฟเบอร์ วิตามิน C และ K ที่ดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีแคลอรี่แค่ประมาณ 25 แคลอรี่ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเท่านั้น

แบล็กเบอร์รี่: แบล็กเบอร์รีเป็นผลไม้อีกชนิดที่มีประโยชน์มากมาย เช่นเดียวกับผลไม้ตระกูลเบอร์รีชนิดอื่นๆ ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า bioflavonoids นอกจากนั้นการทานแบล็กเบอร์รี่ยังสามารถช่วยในการย่อยอาหาร และฟื้นฟูให้ผิวดูอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย โดยมีแคลอรี่ประมาณ 62 แคลอรี่ต่อหนึ่งมื้อเท่านั้น

ผักกาดหอม: ผักกาดหอมเป็นผักที่อุดมไปด้วยโฟเลต ธาตุเหล็ก วิตามิน A และ C นอกจากนั้นยังให้พลังงานแค่ประมาณ 10 - 20 แคลอรี่ต่อมื้อเท่านั้น

ส้ม: เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าส้มเป็นผลไม้ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีชั้นดี ซึ่งวิตามินซีนั้นมีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมเซลล์ผิว และยังช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งกระจ่างใส นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยใยอาหาร ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ลดคอเลสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยส้มขนาดกลางให้พลังงานแค่ 80 แคลอรี่เท่านั้น

สตรอว์เบอร์รี: สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี โดยให้วิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งผลเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้สตรอว์เบอร์รียังมีสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นแหล่งโพแทสเซียมและเส้นใยที่ดี อีกทั้งยังปราศจากไขมัน โซเดียม และคอเลสเตอรอล ทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งสตรอว์เบอร์รีหนึ่งถ้วยมีแคลอรี่ประมาณ 50 แคลอรี่เท่านั้น

เมล่อน: เมล่อนเป็นผลไม้ที่ให้น้ำตาลธรรมชาติประมาณ 14 กรัมต่อผล นอกจากนั้นยังให้คุณค่าของวิตามินซีและทองแดง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวมีสุขภาพดี

ที่มา: insider

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่