ที่สำคัญไปกว่านั้นมันมีความจริงที่ซ่อนอยู่คือ วันนั้นเป็นวันขีดเส้นตายที่ต้องส่งงานทั้งหมด เหมือนที่คำโบราณเรียกว่า “ไฟลนก้น” นั่นเอง
ฉันต้องจัดการงานทั้งหมดให้เรียบร้อย สวยงาม และฉันขอบอกเลยว่า งานชิ้นนี้ไม่ใช่งานง่ายเลย เพราะมันเป็นโปรเจคพิเศษที่เพิ่มเข้ามาในงานปกติที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่มันก็คือความรับผิดชอบที่ต้องทุ่มเทชีวิต จิตใจ สมองและพลังงานทั้งหมดที่มี เพื่อให้ทันกำหนด และยังได้รับเงินเดือนจากเจ้านายในฐานะลูกจ้างเอกชนตัวน้อยๆ ต่อไป
ฉันนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ จาก “8 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม” มันคือบรรยากาศวันศุกร์ ที่ไม่เหมือนศุกร์ใดที่เคยมีมา หลังจากที่ฉันทำงานโปรเจคพิเศษนั้นเสร็จเรียบร้อย ประกอบกับงานประจำวันที่ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ฉันปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟ เดินออกมาจากสำนักงานพร้อมเพื่อนร่วมงาน ที่เพิ่งเสร็จงานในเวลาใกล้เคียงกัน
รอบๆ บริเวณสำนักงานก็มืดเสียแล้ว ในเวลาสองทุ่มกว่าที่มีเพียงพี่ๆ (ลุงๆ) พนักงานรักษาความปลอดภัยยืนปฏิบัติหน้าที่อยู่ในมุมมืด ฉันเดินไปที่รถยนต์ด้วยร่างกายที่มีพลังชีวิตระดับขีดสีแดง (เทียบกับตัวในเกมที่หลายท่านคุ้นเคย) ด้วยว่ากำลังจะหมดลงหลังจากการทำงานอย่างหนักตลอดทั้งวัน และยังไม่รวมถึงความเครียดสะสมจากโปรเจคยักษ์ใหญ่ดังกล่าว ด้วยกลัวว่างานจะออกมาไม่สมบูรณ์แบบดังใจหวัง
ฉันเดินมาถึงรถยนต์ สตาร์ทเครื่อง ...วูบ! เครื่องไม่ติด! อึ้ง! สติมาและจำได้ว่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ครั้งล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มันคงถึงวาระกรรมที่ต้องจากไป ฉันจึงโทรไปขอความช่วยเหลือจาก “มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต” ที่เบอร์ 076246301 บุคคลปลายสายที่รับแจ้งเหตุรับสายทันใดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนจบบทสนทนาหลังจากที่ฉันแจ้งข้อมูลเพื่อรับความช่วยเหลือไปเรียบร้อย
หลังจากนั้นฉันก็เดินวนเวียนไปมา ไม่อยากนั่งเฉยๆ เพราะยุงกะสองทุ่มกว่านั้นชุมและดุเหลือเกิน เดินไปจิ้มมือถือไป ท่องโลกโซเชียลไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีก็มีรถกระบะของเจ้าหน้าที่กุศลธรรมภูเก็ต ที่ดูแลพื้นที่ที่ฉันทำงานอยู่ขับมาจอดใกล้ๆ ก่อนจัดการช่วยพ่วงแบตฯ อย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ
พี่เขามากัน 2 คน ฉันทำได้เพียงแค่ “กล่าวขอบคุณและยกมือไหว้” ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน จนได้พักผ่อนสมใจในที่สุด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันประทับใจและซาบซึ้งในน้ำใจของอาสาสมัครมูลนิธิฯ พวกเขาทำงานกันด้วยหัวใจและไม่หวังสิ่งตอบแทนจริงๆ ขอบคุณมากค่ะ