เตือน 6 กลุ่มเสี่ยง ระวังอันตรายจากอากาศร้อน เสี่ยงป่วยโรคฮีทสโตรก อันตรายถึงชีวิต

อธิบดีกรมควบคุมโรค เตือนประชาชนระวังอันตรายจากอากาศร้อน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอาจเจ็บป่วยจากโรคฮีทสโตรก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

วันพุธ ที่ 17 มีนาคม 2564, เวลา 13:33 น.

ภาพประกอบ : บรรยากาศเงียบสงบของหาดป่าตองยามบ่าย

ภาพประกอบ : บรรยากาศเงียบสงบของหาดป่าตองยามบ่าย

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้สภาพอากาศทั่วไปมีอุณหภูมิสูงขึ้นในหลายพื้นที่ ซึ่งประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอาจเจ็บป่วยจากโรคฮีทสโตรก ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัว หรือควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายได้ โดยมีอาการสำคัญ ได้แก่ ตัวร้อน อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิน 40 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดอาการหน้ามืด เพ้อ กระสับกระส่าย มึนงง หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชักเกร็ง ช็อก จนถึงหมดสติ  หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัว หรือควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายได้ โดยมีอาการสำคัญ ได้แก่ ตัวร้อน อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิน 40 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดอาการหน้ามืด เพ้อ กระสับกระส่าย มึนงง หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชักเกร็ง ช็อก จนถึงหมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

แนะนำประชาชนดูแลสุขภาพตนเอง โดยเฉพาะ 6 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีเท่าคนหนุ่มสาว ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีภาวะอ้วน ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก

ป้องกันการเกิดโรคฮีทสโตรก ได้ด้วยการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายความร้อนได้ดี อยู่ในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ลดหรือเลี่ยงทำกิจกรรมกลางแจ้งตากแดดนานๆ ควรสวมแว่นกันแดด กางร่ม หรือสวมหมวกปีกกว้าง ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและอย่าทิ้งเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดไว้กลางแจ้ง

หากสงสัยผู้มีอาการเจ็บป่วยจากภาวะอากาศร้อน ควรให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยให้ดื่มน้ำเย็นและเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น ให้อยู่ในที่ระบายอากาศที่ดี ถ้ามีอาการรุนแรงหรือหมดสติควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

ที่มา: กรมควบคุมโรค

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่