'เรียนอะไรดี เป็นอะไรดี?' คำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผม

บทความ - สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ที่กำลังจะจบการศึกษา กำลังจะเป็นบัณฑิต และกำลังคิดว่าจะต้องทำงานอะไรต่อไป เพื่อที่จะสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว ทั้งในปัจจุบันยาวไปจนถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และตอนนี้คำถามที่ยังคงวนไปเวียนมาในหัว ก็คือ “เรียนจบแล้ว จะทำอะไรดี”

ข่าวภูเก็ต

วันอาทิตย์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561, เวลา 09:00 น.

เมื่อครั้งยังเด็ก เรามักจะเจอคำถามที่ว่า “โตขึ้นอยากจะเป็นอะไร” ผมก็ตอบส่ง ๆ ไปว่าอยากเป็นหมอ เพราะหมอคืออาชีพที่ทุก ๆ คนใฝ่ฝัน เป็นอาชีพที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นและใส่ชุดกาวน์สีขาวสุดเท่ห์ แต่การที่จะเรียนเป็นหมอนั้น นอกจากคุณจะต้องเก่งแล้วยังต้องมีความขยันอย่างมากกว่าคนอื่น ๆ ทั่วไป และแน่นอนว่าผมเองกับอาชีพหมอนั้นดูจะห่างชั้นกันพอสมควร กระทั่งเมื่อผมโตขึ้น หากมีใครสักคนเดินมาถามผมว่า ผมอยากทำอาชีพอะไร ผมคงตอบไม่ได้เลยว่าจะไปทำอะไรดีเพื่อเป็นการหาเลี้ยงชีพหลังจากชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย

ช่วงเรียนตอนประถม ไม่เคยตั้งใจเรียนเลย โดดเรียนบ้าง และแทบจะไม่ส่งการบ้านเลย จนครูหลายวิชา ต้องทำโทษสั่งสอนไปหลายครั้งหลายคราว ผลคือติด 0 ติด ร. รวม ๆ กัน เกือบ 20 ตัว จนแม่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ต้องพาตัวไปแก้เกรดอยู่บ่อยครั้งกว่าจะผ่านเกณฑ์จนครบทุกวิชา เรียกได้ว่าผ่านช่วงเวลาเรียนชั้นประถมมาได้อย่างหวุดหวิด

ช่วงเรียนมัธยมต้น (ช่วง ม.1-ม.2) ตัวผมเองก็ยังไม่เข็ดหลาบจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ยังคงไม่ตั้งใจเรียนเหมือนอย่างเคย การบ้านก็ยังไม่ค่อยส่งเหมือนเคย ครูทำโทษไปแล้วก็ยังไม่จำ

จนเข้ามาถึงชั้น ม.3 ที่เป็นปีสุดท้ายของชั้นมัธยมต้น ซึ่งมีรายวิชาหนึ่ง ชื่อวิชาแนะแนว ที่มีครูผู้สอนมาพูดเกี่ยวกับแนวทางการเรียนต่อหลังจบชั้น ม.3 ว่านักเรียนคนใดสนใจเรียนในด้านที่ตนเองถนัด มีทั้งด้านวิชาการ หรือด้านอาชีพให้เลือกเข้าเรียน ในตอนนั้นตัวเองนั่ง "เอ๋อ" รับประทานไปชั่วขณะ เพราะตัวเองที่ไม่สนใจอะไร ไม่มีความเก่งในด้านใด ๆ เลย ซ้ำยังนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าตัวเองจะไปเรียนอะไรหลังจากเรียนจบในปีนี้ บอกตัวเองว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพื่อนเรียนอะไร เราก็ไปเรียนด้วย

ในตอนนั้นคิดแบบนี้แหละ ด้วยความที่อยู่กลุ่มแก๊งเหล่าผู้ชาย จึงคิดว่าผู้ชายเหมาะ
กับสายอาชีพงานช่าง จึงคิดว่าจะไปเรียนที่วิทยาลัยด้านอาชีพ พอเวลาผ่านไปไม่นานนัก ก็เกิดฉุกคิดได้ว่า ถึงเราจะไม่ถนัดในหลาย ๆ วิชา แต่วิชาที่ตัวเองเรียนได้ดีที่สุด คือ วิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาเดียวที่ไม่เคยตก ไม่เคยติด 0 ติด ร. เลยแม้แต่ครั้งเดียว (ที่เหลือตกหมดทุกวิชา) ในตอนนั้นได้คิดว่า ถ้าตัวเองถนัดในด้านภาษาก็ไปเรียนต่อในการใช้ภาษาเสียเลยสิ แต่พอมาคิดทบทวนอีกที ตัวเราเองก็ไม่ถนัดและไม่ชอบในด้านวิชาการหนัก ๆ หลังจากคิดได้จึงเดินเข้าไปปรึกษากับครูผู้สอนวิชาแนะแนวในขณะนั้น

คุณครูเลยแนะนำมาว่า ถ้าถนัดภาษาอังกฤษแต่ไม่ชอบด้านวิชาการ ก็ลองไปเรียนสาขาวิชาการท่องเที่ยวดูไหม เป็นวิชาด้านการอาชีพที่ได้ใช้ภาษาในการสื่อสารจริง ๆ พอได้ฟังคุณครูพูดแบบนั้น เราเลยโอเคกับคำแนะนำและอยากจะเดินตามแนวทางนี้ ผมเลยกลับมาตั้งใจเรียนในช่วงโค้งสุดท้ายของชั้นมัธยมต้น จนจบผ่านมาได้ จากนั้นจึงไปสมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยด้านการอาชีพแห่งหนึ่ง ในสาขาวิชาการท่องเที่ยว และสามารถสอบเข้าเรียนได้ในที่สุด

ปีแรกของชีวิตในรั้วสถานศึกษาใหม่ ที่พอได้เข้าไปเรียนจริง ๆ แล้วนั้น ทำให้ผมคิดได้ว่า ตัวเองได้เจอสิ่งที่ถนัดจริง ๆ สักที เรียนไปเรียนมาสักพักตัวเองก็ออกลายเดิมอีกแล้ว คือไม่ตั้งใจเรียน ไม่ส่งการบ้าน แต่คราวนี้ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ไม่มีครูมาคอยบอก คอยเตือนเหมือนที่ผ่านมา หากไม่ส่งงาน ก็ตกไป ซ้ำยังหากติดแล้ว ต้องเรียนในรายวิชานั้นทั้งเทอมเพื่อแก้เกรดกลับมาอีกครั้ง ผลคือติด 0 และติด ร. รวมกัน 6 ตัว ต้องใช้เวลาทั้งเทอมกว่าจะได้ประกาศนียบัตรวิชาชีพมาครอบครองได้

จากนั้นก็ถึงคราวที่ต้องคิดอีกว่า ในระดับมหาวิทยาลัยจะไปเรียนอะไรดี และถ้าจะเรียนก็ต้องตั้งใจไม่ให้เหมือนที่ผ่านมา

คำตอบที่ “ปิ๊ง” มาในหัวทันทีคือ วิชาภาษาอังกฤษ ตัวเองเลยรีบวิ่งแจ้นไปสมัครที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้านทันที และผลก็คือสามารถสอบเข้าเรียนได้ แต่คราวนี้ต้องไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ผมใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยไปในทางที่ดี ตั้งใจเรียนมากขึ้น ส่งงานทุกงานตรงเวลา กิจกรรมระดับมหาวิทยาลัย คณะ สาขาวิชา จิตอาสา ในหรือนอกสถานที่ ผมทำหมดไม่มีขาดตอน มันทำให้ตัวผมได้พัฒนาด้านความรู้ วิชาการ สังคม สั่งสมมาเรื่อย ๆ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ผมทำลงไปอย่างเต็มที่ในช่วงชีวิตนักศึกษาของผมเลย

จนมาถึงในตอนโค้งสุดท้ายของชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัย เหตุการณ์แบบเดิมก็เกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง นั้นก็คือ ความคิดที่ว่าจะทำอะไรต่อไปดีหลังจากเรียนจบ ผมครุ่นคิดอยู่แทบจะตลอดเวลาแต่ก็ยังคิดไม่ตก มันเหมือนกับเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ผมต้องตัดสินใจให้ดี และเตรียมตัวให้พร้อมกับผลที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ผมรู้และคิดอยู่เสมอมา ก็คือ “ทำอะไรก็ได้ที่เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวให้ได้” ซึ่งผมมั่นใจว่าอีกไม่นานผมจะสามารถหา “คำตอบ” ให้ตัวเองได้อย่างแน่นอน

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่