“We wish you a Merry Christmas...จากคุณนายซานต้า”

เทศกาลแห่งความสุขกลับมาอีกครั้ง วันเวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน แป๊บ ๆ 12 เดือนเสียแล้ว คุณนายซานต้ายังทำในสิ่งที่จดไว้ในลิสต์ ปี 2018 ได้ไม่ครบถ้วนเลย... แต่เอาน่าที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก ทำสิ่งที่ตั้งใจได้สำเร็จแม้เพียงอย่างเดียวก็ยังดีกว่าไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตเลย

ข่าวภูเก็ต

วันอังคาร ที่ 25 ธันวาคม 2561, เวลา 11:03 น.

หลายวันก่อนในขณะที่คุณนายซานต้าว่างเว้นจากการช่วยคุณซานต้าห่อของขวัญ สำหรับแจกจ่ายให้เด็ก ๆ ก็ได้อ่านเจอบทความที่น่าสนใจ เขียนโดย Andreas J. Köstenberger ในหัวข้อ 10 สิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับคริสต์มาส ซึ่งบทความดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ซีรีส์ “10 Things You Should Know” ลองมาดูกันว่าศาสตราจารย์แอนเดรียส ชาวอเมริกันคนนี้เขียนถึงเทศกาลแห่งความสุขไว้ว่าอย่างไร

ข้อที่ 1 พระเยซูคือเหตุผลแห่งเทศกาลสำคัญนี้
จุดประสงค์หลักในการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส ก็เพื่อเป็นการระลึกถึงการประสูติของพระเยซูคริสต์ ในวันคริสต์มาสพวกเราเฉลิมฉลองวันเกิดของพระเยซู ไม่ใช่เพื่อเด็กชายมือกลองตัวน้อยหรือซานตาคลอส!

ข้อที่ 2 พระเยซูทรงสถิตกับพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนที่โลกจะถือกำเนิดขึ้น
การประสูติของพระเยซูในฐานะทารกในรางหญ้าของเบธเลเฮม ไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตอยู่แห่งประองค์ เฉกเช่นพระวรสารของยอห์นสอนไว้อย่างชัดเจน (ยอห์น 1: 1, 14) และพระวรสารอื่น ๆ ที่ส่อความหมายว่าพระเยซูคริสต์ทรงประสูติในร่างและเนื้อหนังของมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า

ข้อที่ 3 การประสูติของพระเยซูคือจุดสูงสุด ในห้วงเวลาหลายศตวรรษ แห่งความคาดหวังของศาสนพยากรณ์
การเสด็จมาของพระเยซูเกิดเพื่อเป็นการเติมเต็มความคาดหวังของศาสนพยากรณ์ รวมถึงสถานที่เกิดของพระองค์ การประสูติของพระเยซูจากครรภ์ของหญิงสาวพรหมจรรย์ และรายละเอียดอื่น ๆ แห่งการถือกำเนิดของพระองค์ ต่อมาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ทางโลกของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตายของพระองค์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปเวรกรรมที่สำคัญยิ่งของมวลมนุษยชาติและการฟื้นจากความตายของพระองค์ อันเติมเต็มศาสนาพยากรณ์ทุกประการ

ข้อที่ 4 เราควรแยกความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมเทศกาลคริสต์มาสกับคริสต์มาสในพระคัมภีร์
เราต้องแยกข้อเท็จจริงของเรื่องเล่า และประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ ออกจากประเพณีคริสต์มาส นั่นคือ ซานตาคลอส ของขวัญ กวางเรนเดียร์ ต้นคริสต์มาส และของกระจุกกระจิกอื่น ๆ ไม่ใช่ว่าธรรมเนียมเหล่านี้เป็นสิ่งที่เลวร้าย แต่มันจะไม่ได้อ้างอิงกับประวัติศาสตร์ การประสูติของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ตำนานหรือเรื่องที่เล่าต่อ กันมา มันคือความจริงทางประวัติศาสตร์

ข้อที่ 5 การประสูติของพระเยซูเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ นำไปสู่การสละชีวิตของพระองค์ เพื่อไถ่บาปแก่มวลมนุษยชาติ ในฐานะบุตรของพระเจ้าที่รับเอาความทุกข์บนไม้กางเขน
พระเยซูคริสต์ไม่เพียงแต่ทรงประสูติเป็นเด็กทารก พระองค์ยังทรงเจริญวัยในฐานะชายหนุ่ม จนเมื่ออายุสามสิบปีพระองค์ทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจเพื่อสาธารณชน พระองค์ทรงรักษาผู้คนเป็นจำนวนมาก ทรงขับไล่ภูตผีปีศาจ ชุบชีวิตคนตาย และสั่งการพลังแห่งธรรมชาติ เพื่อให้เป็นไปตามคาดการณ์แห่งพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และฟื้นจากความตายในสามวันต่อมา ขณะที่เราเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ในเทศกาลคริสต์มาส เราควรจำไว้เสมอว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของช่วงชีวิต ซึ่งแตกต่างจากสิ่งอื่นใดที่ทำให้เราได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากบาป และรับการให้อภัยจากบาปที่เราก่อเอาไว้

ข้อที่ 6 พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ทรงถือกำเนิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในครรภ์ของพระแม่มารีมารดาแห่งพระองค์
หัวใจของคริสต์มาสคือความมหัศจรรย์ทางชีวภาพและเทววิทยา ที่ต้องอาศัยความเชื่อเหนือธรรมชาติ ความคลางแคลงใจที่ว่าพระเจ้าทรงให้เด็กคนหนึ่งถือกำเนิดในครรภ์มารดาผู้ซึ่งเป็นสาวพรหมจรรย์ โดยเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นไปไม่ได้ทางชีวภาพและมองว่าเรื่องนี้มันเป็นเพียงแค่ตำนาน ผู้ที่มีความเชื่อจะรับรู้ได้ว่ามีเพียงมนุษย์ที่ไร้บาปเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้รอดพ้นได้โดยการตายเพื่อพวกเขา และมนุษย์ที่ไร้บาปผู้นั้นจะถือกำเนิดในครรภ์ได้โดยการสร้างแห่งพระเจ้าเองเท่านั้น

ข้อที่ 7 ไม่มีการจุติลงมาเกิดโดยปราศจากการถือกำเนิดในครรภ์อันบริสุทธิ์ (virgin birth)
จากหนังสือของ แอนดรู ลินคอล์น “Born of a Virgin?” ที่ได้มีการถกเถียงกันอยู่ว่าการถือกำเนิดในครรภ์อันบริสุทธิ์นั้นไม่ได้เป็นไปตามประวัติศาสตร์ ในขณะที่มีการยืนยันว่าการเกิดใหม่ยังคงเป็นความจริงในความหมายทางจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ขัดต่อคำสอนในพระคัมภีร์ ซึ่งช่วยให้การถือกำเนิดในครรภ์อันบริสุทธิ์และการบังเกิดใหม่เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน เพียงเฉพาะการถือกำเนิดในครรภ์อันบริสุทธิ์ของพระเยซูเท่านั้น ที่ทำให้พระองค์มีสองฐานะคือ “บุตรพระเจ้า” และ “บุตรมนุษย์” ในคนคนเดียวกัน ซึ่งได้รับการยืนยันโดยคณะกรรมการคริสตจักรยุคแรก

ข้อที่ 8 การประสูติของพระเยซูเกิดขึ้นพร้อมกับการปฏิเสธ
เฮโรดพยายามจะฆ่าพระเยซู (มธ. 2:16) ไม่มีที่ว่างสำหรับพระเยซู (ลูกา 2: 7) แม้ว่าโลกนี้จะเกิดขึ้นจากการสร้างผ่านทางพระเยซูคริสต์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์ (ยอห์น 1:11) หลายคนไม่ได้ให้การต้อนรับการบังเกิดของพระคริสต์ เนื่องจากสาเหตุนั้นมีพื้นฐานมาจากองค์พระเยซูคริสต์ได้ก้าวเข้าไปคุกคามความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแห่งมนุษย์ เหล่าคนบาปมีใจรักในบาปมากกว่าพระเจ้า และปฏิเสธที่จะก้าวเดินออกไปสู่ความสว่าง เพราะเกรงว่าบาปของตนเองนั้นจะถูกเปิดเผยให้ปรากฏ (ยอห์น 3: 19-21)

ข้อที่ 9 พระเยซูเสด็จมาเป็นครั้งที่สอง เพื่อสร้างจิตวิญญาณให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์
ดังเช่น ชารลส์ เวสลีย์ ยืนยันใน “Hark! The Herald Angels Sing” แล้วว่า พระเยซูคริสต์ “บังเกิดมาเพื่อมนุษยชาติ เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง” ยอห์นเขียนว่า “แต่สำหรับทุกคนที่ได้รับพระองค์ ผู้ซึ่งเชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงได้รับสิทธิในการเป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งได้บังเกิด ไม่ใช่จากเลือด ไม่ใช่จากความต้องการของเนื้อหนัง หรือจากความประสงค์แห่งมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า” (1: 12-13) จากนั้น เขาก็ได้บอกเล่าเรื่องราวของนิโคเดมัส ผู้ซึ่งพระเยซูบอกว่าเขาจะต้องเกิดใหม่ (3: 3, 5) ทุกคนสามารถเกิดใหม่ได้ในทางจิตวิญญาณหรือศาสนา โดยการสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวจากบาป และเชื่อในพระเยซู ผู้คนที่ไม่ได้สัมผัสกับเกิดใหม่นั้นไม่ใช่ผู้ที่มีความเชื่อไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ แต่เป็นเพียงผู้ที่อยู่ภายใต้นามแห่งคริสเตียนเท่านั้น (โรม 8: 9)

ข้อ 10 การมาของพระเยซูคริสต์เป็นจุดสูงสุดแห่งการเสียสละ
พระองค์ทรงละทิ้งความงดงามและความสุขอันยิ่งใหญ่แห่งสรวงสวรรค์สู่โลกมนุษย์ สถานที่อันมืดมิด เปลือยเปล่า อ่อนแอ ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ และไร้ซึ่งที่พึ่งพิง พระองค์ทรงรับความเป็นมนุษย์ และทรงดำรงอยู่อย่างไร้บาปเพื่อช่วยพวกเรา (โรม 8:3) พระองค์ทรงอ่อนแอ ในสภาพที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน และตายเพราะบาปของพวกเรา (ฟิลล์ 2: 5-8)

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่